“เอ็กโก” เตรียมลงนาม “เอสเค” ลุยธุรกิจแอลเอ็นจี

28 ก.พ. 2562 | 09:43 น.
“เอ็กโก” เตรียมลงนาม “เอสเค” ลุยธุรกิจแอลเอ็นจี  ชี้ต่อยอดหลังจากเอ็กโกร่วมลงทุนสัดส่วน 49%

นายจักษ์กริช พิบูลย์ไพโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมลงนามข้อตกลง (เอ็มโอยู) ร่วมกับบริษัท เอสเค อีแอนด์เอส จำกัด ผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจก๊าซธรรมชาตเหลว(แอลเอ็นจี) ภายในไตรมาส 1 ปีนี้ เพื่อร่วมดำเนินธุรกิจแอลเอ็นจี โดยการลงนามในครั้งนี้ เป็นการต่อยอดหลังจากเอ็กโกร่วมลงทุนสัดส่วน 49% ในบริษัท พาจู เอ็นเนอร์ยี่ เซอร์วิส จำกัด(บริษัทลูกของเอสเค) ซึ่งเป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมพาจู กำลังการผลิต 1,823 เมกะวัตต์ ในประเทศเกาหลีใต้

สำหรับสาเหตุที่เอ็กโกมีความสนใจลงทุนในธุรกิจแอลเอ็นจี เนื่องจากมองว่าความต้องการใช้ก๊าซในการผลิตไฟฟ้าตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ(พีดีพี 2018) ยังอยู่ในระดับสูง มีความจำเป็นต้องนำเข้าแอลเอ็นจี นอกจากนี้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ได้โควตานำเข้าแอลเอ็นจี ซึ่งเอ็กโกมีความสนใจยื่นประมูลแข่งขัน ประกอบกับเอสเค เป็นพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญด้านการนำเข้าแอลเอ็นจี จึงเห็นว่าเป็นโอกาสลงทุนในธุรกิจดังกล่าว

 

[caption id="attachment_396136" align="aligncenter" width="503"] จักษ์กริช พิบูลย์ไพโรจน์ จักษ์กริช พิบูลย์ไพโรจน์[/caption]

สำหรับแนวโน้มการดำเนินงานปี 2562 เอ็กโก กรุ๊ป ให้ความสำคัญกับการสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับองค์กรและสร้างผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่องให้แก่ผู้ถือหุ้น โดยการแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญทั้งโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน และแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลัก ในขณะเดียวกัน ก็ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการโรงไฟฟ้าที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้วให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และการบริหารจัดการโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างให้แล้วเสร็จตามกำหนดและภายใต้งบประมาณที่วางไว้

นอกจากนี้ปี 2562 บริษัทฯ เตรียมงบลงทุนไว้ประมาณ 30,000 ล้านบาท สำหรับ 3 โครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง และการซื้อหุ้นโรงไฟฟ้าพาจู ประเทศเกาหลีใต้ซึ่งได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2562 โดยโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง 3 โครงการ รวมกำลังการผลิตตามสัญญาซื้อขายและตามสัดส่วนการถือหุ้น 544 เมกะวัตต์ ได้แก่ โรงไฟฟ้า “ไซยะบุรี” 160 เมกะวัตต์ ใน สปป.ลาว โรงไฟฟ้า “ซานบัวนาเวนทูรา” 223 เมกะวัตต์ ในฟิลิปปินส์ ซึ่งทั้งสองโครงการจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ ในปี 2562 และโรงไฟฟ้า “น้ำเทิน 1” 161 เมกะวัตต์ ใน สปป.ลาว ซึ่งจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ ในปี 2565 ทั้งนี้ งบลงทุนดังกล่าวไม่นับรวมโครงการใหม่ที่จะเข้าไปลงทุนและโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา 2 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้า “กวางจิ” ประเทศเวียดนาม และโรงไฟฟ้า “สตาร์ เอ็นเนอร์ยี่ ส่วนขยาย” ประเทศอินโดนีเซีย
“เอ็กโก กรุ๊ป เล็งเห็นว่าอุตสาหกรรมไฟฟ้าในประเทศไทยมีโอกาสเติบโตค่อนข้างจำกัด บริษัทฯ จึงมุ่งขยายการลงทุนในต่างประเทศเป็นหลัก โดยจะต่อยอดธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนที่มีฐานอยู่แล้วได้แก่ สปป.ลาว ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และขยายการลงทุนไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เช่น เกาหลีใต้ รวมทั้งแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลัก เช่น ธุรกิจแอลเอ็นจี โดยร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่เข้มแข็งอย่าง บริษัท เอสเคอีแอนด์เอส จำกัด อย่างไรก็ตาม สำหรับโอกาสการลงทุนในประเทศไทย เอ็กโก กรุ๊ป มีความพร้อมสำหรับการลงทุนตามนโยบายของภาครัฐและแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย ฉบับใหม่ (PDP 2018) โดยเฉพาะการลงทุนในโครงการ IPP บริษัทฯ มีความพร้อมที่จะเข้าแข่งขันประมูลในทุกพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นภาคตะวันตก ภาคใต้ หรือภาคตะวันออก” นายจักษ์กริชกล่าว
นายจักษ์กริช กล่าวอีกว่า ผลประกอบการของเอ็กโก กรุ๊ป ปี 2561 ดีกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ มีกำไรสุทธิ 21,073 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน 9,255 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 78 หากพิจารณาเฉพาะกำไรจากการดำเนินงานบริษัทฯ มีกำไรจากการดำเนินงาน จำนวน 23,372 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 14,104 ล้านบาท หรือร้อยละ 152 ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากกำไรจากการขายสินทรัพย์ 3 แห่ง จำนวน 14,177 ล้านบาท ได้แก่ ขายหุ้นที่ถืออยู่ทั้งหมดใน บมจ.จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก บจ.จีเดคและ บจ.มาซินลอค พาวเวอร์ พาร์ทเนอร์ และมีกำไรจากการดำเนินงานปกติ จำนวน 9,195 ล้านบาท ลดลง 73 ล้านบาท ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2562 ให้จ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปี 2561 ในอัตราหุ้นละ 3.50 บาทซึ่งหากได้รับการอนุมัติ เท่ากับบริษัทฯ จ่ายเงินปันผลตลอดปี 2561 ในอัตราหุ้นละ 9.50 บาท

ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว-8