สบช่อง "ข้าวเมียนมา-กัมพูชา" ติดเซฟการ์ด! 'พาณิชย์' ลุยเพิ่มส่งออกข้าว 2 ตลาดใหญ่

11 ก.พ. 2562 | 11:38 น.
คต. โชว์แผนส่งออกข้าว ตีฆ้องเรียกลูกค้าผ่าน 2 แฟร์ระดับโลก ที่เยอรมัน-ยูเออี ดันข้าวอินทรีย์ตัวชูโรง เจาะตลาดคนรักสุขภาพในอียู ตะวันออกกลาง สบช่องยุโรปใช้เซฟการ์ดขึ้นภาษีข้าวกัมพูชา-เมียนมา ดันราคาใกล้เคียงกัน พลิกไทยได้เปรียบ ประเดิม ม.ค. ส่งออกข้าวแล้วกว่า 1 ล้านตัน

นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ (คต.) กระทรวงพาณิชย์ เผยว่า ตลอดเดือน ก.พ. นี้ กรมฯ มีแผนการขยายตลาดและประชาสัมพันธ์ข้าวไทยในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยได้เตรียมนำเสนอข้าวคุณภาพดีชนิดใหม่ ๆ ของไทย ให้เป็นที่รู้จักในต่างประเทศมากขึ้น อาทิ ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวหอมมะลิแดง ข้าว กข43 เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคที่รักสุขภาพ ซึ่งเป็นกระแสนิยมในตลาดทั่วโลกในปัจจุบัน

ทั้งนี้ มีกำหนดนำคณะผู้แทนการค้าเดินทางไปจัดกิจกรรมส่งเสริมและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้าวไทยและผลิตภัณฑ์นวัตกรรมข้าวไทยในงานแสดงสินค้าสำคัญ 2 งาน ได้แก่ งาน BIOFACH 2019 ครั้งที่ 30 ระหว่างวันที่ 13–16 ก.พ. 2562 ณ สาธารณรัฐเยอรมนี ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก ในการจัดงานแต่ละปีมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 50,000 ราย จาก 130 ประเทศ ถือเป็นเวทีสำคัญในการประชาสัมพันธ์ข้าวอินทรีย์และผลิตภัณฑ์ข้าวอินทรีย์ไทยให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายในสหภาพยุโรป (อียู) อีกงาน คือ Gulfood 2019 ระหว่างวันที่ 17–21 ก.พ. 2562 ณ สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ (ยูเออี)) ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคตะวันออกกลาง คาดในปีนี้จะมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 98,000 ราย จาก 193 ประเทศทั่วโลก


043

"กรมยังมีแผนเร่งประชาสัมพันธ์ข้าวไทยอย่างต่อเนื่อง อาทิ การเชิญ Bloggers จากแวดวงอาหารชื่อดังระดับโลก เดินทางเยือนไทย เพื่อจัดกิจกรรมสร้างประสบการณ์เรียนรู้ข้าวไทย ในเดือน ก.พ. 2562 และการจัดคณะผู้แทนการค้าเดินทางไปเชื่อมโยงตลาดข้าว ณ ประเทศสิงคโปร์ และฮ่องกง ในเดือน มี.ค. 2562 เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยมีช่องทางในการขยายตลาดและช่วยผลักดันการส่งออกข้าวไทยให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง"

สำหรับอียูเป็นตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ที่มีศักยภาพสูง มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐฯ มีมูลค่าการซื้อขายกว่า 1.2 ล้านล้านบาท และมีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่องทุกปี เนื่องจากผู้บริโภคมีกำลังซื้อสูงและให้ความสำคัญกับสุขภาพเพิ่มมากขึ้น โดยหันมาบริโภคสินค้าปราศจากสารเคมีและอาหารที่ปลอดกลูเตน (Gluten Free) รวมทั้งไทยยังมีโอกาสช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดข้าวในอียูได้เพิ่มขึ้น จากการที่อียูเรียกเก็บภาษีนำเข้าข้าวจากกัมพูชาและเมียนมาเป็นระยะเวลา 3 ปี (ปีที่ 1–3 ในอัตรา 175, 150 และ 125 ยูโร/ตัน) ภายใต้มาตรการปกป้องการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น (เซฟการ์ด) ทำให้ข้าวที่นำเข้าจากกัมพูชาและเมียนมามีราคาสูงขึ้นใกล้เคียงกับราคาข้าวไทย ซึ่งผู้ซื้อมีแนวโน้มที่หันมานำเข้าข้าวจากไทย ซึ่งมีคุณภาพดีกว่า จากปัจจุบัน กัมพูชาครองส่วนแบ่งตลาดข้าวเป็นอันดับ 1 ในอียู ประมาณ 25% รองลงมาได้แก่ อินเดียและไทย


DSC_9717

ส่วนตะวันออกกลางก็ถือเป็นตลาดข้าวที่มีศักยภาพสูง เนื่องจากประชากรมีกำลังซื้อและบริโภคข้าวเป็นอาหารหลัก ทั้งยังนำเข้าข้าวเพื่อความมั่นคงทางอาหาร โดยในแต่ละปีจำเป็นต้องนำเข้าข้าวมากถึง 7 ล้านตันต่อปี ซึ่งยูเออีถือเป็นตลาดสำคัญในการนำเข้าข้าวไทย โดยข้าวที่นำเข้าส่วนใหญ่จะนำไปกระจายส่งออกต่อไปยังตลาดอื่น ๆ เช่น อิรัก อิหร่าน และเยเมน เป็นต้น โดยเฉพาะข้าวนึ่งและข้าวขาว สำหรับข้าวหอมมะลิไทยจะนำไปใช้บริโภคภายในประเทศ จึงเป็นโอกาสดีของข้าวอินทรีย์และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากข้าวอินทรีย์ไทย ที่สามารถตอบโจทย์และสนองความต้องการดังกล่าวได้เป็นอย่างดี

สำหรับสถิติการส่งออกข้าวในปี 2562 ตามข้อมูลใบอนุญาตส่งออกข้าว พบว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 4 ก.พ. 2562 ไทยส่งออกข้าวปริมาณ 1.07 ล้านตัน มูลค่า 17,879 ล้านบาท ปริมาณลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีปริมาณ 1.10 ล้านตัน หรือลดลง 2.81% แต่มูลค่าเพิ่มขึ้นจาก 17,529 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2.10%

ติดตามฐาน