ชำแหละข้อตกลงยาใน TPP สภาหอชี้ไทยชวดโอกาสทอง / FDI ไหลเข้าอันดับบ๊วย

15 มี.ค. 2559 | 04:00 น.
สภาหอตรวจสอบผลเจรจาข้อตกลงเกี่ยวกับยาใน TPP ยันมาเลย์-เวียดนามไม่เสียเปรียบสหรัฐฯ แถมมีระยะเวลาผ่อนผันการออกกฎหมายคุ้มครองอีก 5-10 ปี ยกเป็นกรณีศึกษาทำไทยเสียโอกาสเข้าถึงยาใหม่ ขณะสถิติฟ้องชัดปี 58 ทุน FDI ไหลเข้าไทยน้อยสุด ในบรรดา 5 ชาติแถวหน้าอาเซียน จากขาดแรงจูงใจ

[caption id="attachment_38044" align="aligncenter" width="700"] การลงทุนโดยตรง FDI ของต่างชาติในอาเชียนปี 2558 การลงทุนโดยตรง FDI ของต่างชาติในอาเชียนปี 2558[/caption]

นายบัณฑูร วงศ์สีลโชติ รองประธานคณะกรรมการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ"ว่า จากที่ได้ตรวจสอบรายละเอียดของเอกสารเผยแพร่ (text) ความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟก หรือ TPP ที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นแกนนำที่ 12 ชาติสมาชิกได้ลงนามความตกลงกันไปแล้วนั้น ทั้งนี้ในส่วนของความตกลง TPP ในเรื่องการขยายความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับยารักษาโรค ที่องค์กรภาคประชาชนและหลายฝ่ายเกรงไทยจะเสียเปรียบสหรัฐฯนั้น

จากการตรวจสอบสาระสำคัญของความตกลง TPP ในทั้ง 2 เรื่อง สามารถแบ่งได้ดังนี้คือ กรณียาที่เคยเป็นรู้จัก สามารถจดสิทธิบัตรใหม่เพื่อให้คุ้มครองได้นาน 3 ปี และในกรณีที่พบว่า สามารถใช้รักษาโรคใหม่แตกต่างจากโรคเก่าที่ได้จดทะเบียนไว้ เช่น เดิมขอสิทธิบัตรไว้รักษาโรคมะเร็ง แต่พบว่ารักษาโรคเอดส์ได้ จะให้จดสิทธิบัตรใหม่ได้ แต่คุ้มครองเพียง 3 ปี ไม่ใช่ 20 ปีอย่างที่เคยเกรงกลัวกัน ดังนั้นคำว่า evergreen patent หมายถึงสิทธิบัตรไม่มีวันหมดอายุจึงเป็นเรื่องที่กล่าวกันเกินความเป็นจริง แต่มีความจริงอยู่เพียงนิดเดียว คืออีก 3 ปี

ขณะที่การคุ้มครองข้อมูลทดสอบยา (test data exclusivity) มีระยะเวลา 5 ปี โดยบริษัทผลิตยาใหม่ต้องทดสอบว่ายาใหม่นั้นปลอดภัย มีประสิทธิผลในการรักษาโรคตามที่กล่าวอ้างได้จริง แล้วจึงนำข้อมูลนั้นไปขึ้นทะเบียนเพื่อให้องค์การอาหารและยาอนุมัติให้ขายยาใหม่ได้ ซึ่งปกติการทดสอบดังกล่าวบริษัทยาจะใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 10-20 ปี กรณีทำได้ก่อนปีที่ 15 หลังการจดสิทธิบัตรซึ่งคุ้มครอง 20 ปี การคุ้มครองข้อมูลทดสอบยาก็จะหมดไปพร้อมอายุสิทธิบัตร แต่หากทำได้หลังปีที่ 15 บริษัทยาก็ยังได้รับการคุ้มครองให้ขายยานั้นแต่ผู้เดียวไปอีก 5 ปี

"เรื่องนี้ประเทศมาเลเซียกำหนดว่า หากได้ขึ้นทะเบียนข้อมูลทดสอบยาในประเทศแรกวันใด หลังวันนั้นอีก 18 เดือน หากบริษัทยายังไม่ได้มาขึ้นทะเบียนเพื่อขายยานั้นในมาเลเซียก็จะไม่คุ้มครองข้อมูลทดสอบยานั้น หมายความว่า บริษัทยาต้องนำยาใหม่ที่เริ่มขายแล้วในประเทศใดประเทศหนึ่ง ต้องนำมาขายในมาเลเซียภายใน 18 เดือน หลังจากนั้นจึงจะได้รับการคุ้มครองซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยในมาเลเซียได้เข้าถึงยาใหม่

ช้ากว่าประเทศสมาชิกอื่นๆ ใน TPP ไม่เกิน 18 เดือน ส่วนไทยที่ไม่ได้เข้าร่วม TPP อาจไม่ได้มียานั้นขายในประเทศไทยเลย หรือถ้ามีก็อาจยาวนานกว่า 2-3 ปี"

"กรณีที่เกี่ยวกับ data exclusivity นี้มาเลเซียได้เจรจาและได้รับการผ่อนผันให้เริ่มมีกฎหมายคุ้มครอง 5 ปี และเวียดนามมีเวลาผ่อนผัน10 ปี หลังความตกลง TPP มีผลบังคับใช้เพื่อเตรียมการให้เป็นไปตามความตกลงนี้ ซึ่งในส่วนของไทยที่ไม่ได้เข้าร่วม TPP ตั้งแต่แรก หากเข้าร่วม TPP ในภายหลังก็ยังไม่ทราบได้ว่าจะได้รับการผ่อนผันหรือไม่"

นายบัณฑูร กล่าวอีกว่า การไม่เข้าร่วม TPP ของไทยได้ส่งผลกระทบต่อการลงทุนของต่างประเทศในไทย เพราะสินค้าที่ผลิตในไทยล้วนไม่เข้าข่ายได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีในการส่งออกไปยังประเทศสมาชิกของ TPP สู้ไปลงทุนในเวียดนามหรือมาเลเซียที่เป็นสมาชิกของ TPP จะดีกว่า ซึ่งจากข้อมูลการลงทุนโดยตรงของต่างชาติในไทย (FDI) ในปี 2558 ไทยได้รับการลงทุนน้อยที่สุด (ดูตารางประกอบ) โดยอยู่อันดับ 5 ในบรรดาชาติอาเซียน โดยมีสิงคโปร์ (1 ในสมาชิก TPP)ได้รับเงินลงทุนสูงสุดจากการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาระดับโลก โดยการลงทุนส่วนใหญ่มาจากบริษัทเจ้าของสิทธิบัตรสำคัญๆ ของโลก และผู้ผลิตสินค้าเทคโนโลยีดังๆ จากสหรัฐฯ

"ส่วนเวียดนามในปี 2558 ส่งออกสินค้าไปสหรัฐมากกว่าไทย 9.39พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ(3.40 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากปี 2557ที่เวียดนามส่งออกไปสหรัฐฯ มากกว่าไทยอยู่ 3.46 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (1.21แสนล้านบาท) จากมีโรงงานต่างชาติเข้าไปลงทุนในเวียดนามจำนวนมาก มีผลให้การส่งออกจากเวียดนามไปสหรัฐฯเพิ่มขึ้น"

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,139 วันที่ 13 - 16 มีนาคม พ.ศ. 2559