'นีโอ' จับมือยักษ์ซามูไร ปั้นฐานผลิตใหม่

18 ม.ค. 2562 | 06:39 น.
"นีโอ คอร์ปอเรท" ทุ่มกว่า 2,000 ล้าน ผนึกทุนญี่ปุ่น ยกระดับฐานผลิตใหม่ ชูระบบออโตเมชัน-หุ่นยนต์เพิ่มศักยภาพ กำลังผลิตเท่าตัว หวังรุกหนักตลาด FMCG พร้อมเดินหน้าโกยรายได้ทะลุหมื่นล้านในปี 2565

นายสุทธิเดช ถกลศรี ประธานกรรมการและประธานบริหาร บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคสัญชาติไทย อาทิ แบรนด์ไฟน์ไลน์, ดีนี่, บีไนซ์, ทรอส, เอเวอร์เซ้นส์, วีไวต์ สมาร์ท และโทมิ เปิดเผยว่า เพื่อสร้างฐานผลิตที่มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีสูงสุดรองรับการขยายตัวของธุรกิจในระยะยาว ตามยุทธศาสตร์ 2022 ที่เดินหน้าสู่รายได้ 1 หมื่นล้านบาท บริษัทใช้เงินลงทุนกว่า 2,000 ล้านบาท ตั้งโรงงานผลิตแห่งใหม่ บนเนื้อที่กว่า 190 ไร่ ใน จ.ปทุมธานี

 

[caption id="attachment_376346" align="aligncenter" width="503"] 001 สุทธิเดช ถกลศรี สุทธิเดช ถกลศรี[/caption]

โดยบริษัทเริ่มจับมือกับบริษัทผู้เชี่ยวชาญในประเทศญี่ปุ่นมานานกว่า 2 ปี พัฒนาระบบ Automated Warehouse นวัตกรรมด้านการจัดการ (Supply Chain and Operation Excellence) ที่เรียกว่า Automated Storage and Retrieval System (AS/RS) ซึ่งเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ติด 1 ใน 3 ที่บริษัททั่วโลกเลือกใช้ โดยเป็นระบบจัดการการทำงานที่ผสานการจัดส่งสินค้าจากโรงงานผลิตถึงคลังสินค้า มีความถูกต้องแม่นยำ และรวดเร็ว เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน การจัดเก็บประหยัดพื้นที่ถึง 60% และช่วยลดต้นทุนปฏิบัติการลงด้วย โดย R&D Center หรือ ศูนย์รวมการเรียนรู้แห่งนี้ มุ่งเน้นการพัฒนาทั้งด้านคุณภาพและภาพลักษณ์สินค้าในแนวทาง Premiumization


NEO Factory 002

NEO Factory 005

"ล่าสุด ได้เพิ่มนวัตกรรมด้านการผลิตด้วยระบบหุ่นยนต์ หรือ Robotic System ทำให้ผลิตได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งให้ผู้ร่วมงานมีโอกาสเรียนรู้พัฒนาทักษะการทำงานร่วมกับ Robot โดยนำระบบเครื่องจักรที่สามารถบรรจุขวดแบบอัตโนมัติและเครื่องบรรจุแบบซอง (POUCH) ความเร็วระดับไฮสปีด รวมกว่า 10 เครื่อง นอกจากนี้ บริษัทยังวางแผนเพิ่มการลงทุนในระบบแพ็กและระบบจัดเรียงบนพัลเลตแบบอัตโนมัติ เพื่อเสริมศักยภาพในอนาคต ซึ่งเฉลี่ยแล้วสามารถเพิ่มกำลังการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้นกว่าเดิม 100-125% ด้วย"


NEO Factory 007

อย่างไรก็ดี ปัจจุบัน นีโอ คอร์ปอเรท ถือเป็นผู้ประกอบการสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว (Fast Moving Consumer Goods : FMCG) กลุ่ม Non-Food เจ้าแรกที่มีระบบ Warehouse ที่ควบคุมด้วยระบบ Automatic - AS/RS ที่สมบูรณ์ เป็น World Class System ที่ดีและทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ โดยถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ มูลค่าสูงสุด เพื่อเป็นอนาคตใหม่ตามแผน


004

008

นายสุทธิเดช กล่าวอีกว่า กลยุทธ์การทำตลาดเพื่อรุกตลาดพรีเมียม บริษัทเน้นการทำวิจัยทางการตลาดในรูปแบบต่าง ๆ มากกว่า 200 ครั้งต่อปี เพื่อศึกษาและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพทัดเทียมแบรนด์ระดับโลก และตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของกลุ่มเป้าหมายทุกเพศทุกวัย นอกจากนี้ ยังร่วมมือกับคู่ค้าและสถาบันระดับโลกต่าง ๆ มากมาย เพื่อพัฒนานวัตกรรม โดยในปีนี้เทรนด์สินค้าที่นำเสนอจะมุ่งเน้นไปที่ Natural และ Organic Trend ผ่านสินค้าในกลุ่ม เช่น D-Nee Baby Fabric Care เป็นต้น อย่างไรก็ดี ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าที่จะมียอดขาย 6,600 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนกว่า 10% โดยในปี 2561 มียอดขาย 6,000 ล้านบาท เติบโต 10% แบ่งเป็น Personal Care 40% และ Household Care 60% ขณะที่ รายได้จากการส่งออกในปีที่ผ่านมา มีสัดส่วน 15% ตั้งเป้าที่จะเพิ่มเป็น 25% ภายในปี 2565 โดยเน้นตลาด CLMV รวมถึงตลาดตะวันออกกลาง จีน และอเมริกา

หน้า 32 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ | ฉบับ 3,436 ระหว่างวันที่ 17-19 มกราคม 2562

595959859