ซุปเปอร์ริชเพิ่มทุนสยายปีกธุรกิจ ดึงกลุ่มเจนใหม่ร่วมสร้างแบรนด์/ตั้งเป้ารายได้โต 30%

10 มี.ค. 2559 | 05:00 น.
ซุปเปอร์ริชเมินระดมทุนตลาดหลักทรัพย์ เตรียมระดมเงินกงสีเพิ่มทุน 50 ล้านบาท สยายปีกธุรกิจพร้อมขยายสาขาเพิ่ม 9 แห่ง ยกเครื่ององค์กร ดึงเจเนอเรชันใหม่ทำงาน เชื่อธุรกิจยังแข่งเดือด มั่นใจจุดแข็งเสนอเรตแลกเปลี่ยนดีที่สุด ตั้งเป้าธุรกิจ/รายได้โต 30%

นางสาวธณัทร์ษริน สุสมาวัฒนะกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาองค์กร บริษัท ซุปเปอร์ริช (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า ภายในไตรมาสที่ 1 ของปีนี้บริษัทมีแผนจะเพิ่มทุน 50 ล้านบาท(จากกลุ่มผู้ถือหุ้นเก่าในครอบครัว) จากปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 150 ล้านบาท เพิ่มเป็น 200 ล้านบาท โดยการเพิ่มทุนดังกล่าวเพื่อรองรับการขยายธุรกิจรวมถึงขยายสาขาเพิ่มเติมรองรับปริมาณธุรกรรมที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่เห็นความจำเป็นที่จะหาพันธมิตรใหม่หรือเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

นอกจากนี้บริษัทตั้งเป้าขยายปริมาณซื้อขายเงินตราต่างประเทศเติบโต 30% จากปีก่อนมีมูลค่าซื้อขายอยู่ที่ 4.8 หมื่นล้านบาท จากภาพรวมตลาดมีมูลค่าการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศอยู่ที่ 9.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็น 3.37 แสนล้านล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 12% คาดว่ามูลค่าการซื้อขายขยายตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้ไว้ที่ 32 ล้านคน เติบโตประมาณ 8% ซึ่งก่อให้เกิดรายได้จากการท่องเที่ยว 2.3 ล้านล้านบาทต่อเนื่องถึงปี 2560 ที่คาดว่ารายได้จากการท่องเที่ยวจะสูงถึง 2.5 ล้านล้านบาท

ขณะเดียวกันบริษัทตั้งเป้าปีนี้เติบโตรายได้มากกว่า 30% จากปีก่อนซึ่งรายได้ที่ขยายตัวนั้นมาจากปริมาณธุรกรรมการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นจากจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้น โดยตั้งเป้าเปิดสาขาเพิ่ม 9 แห่ง จากปัจจุบันมีอยู่ 11 แห่ง ภายในสิ้นปีครบ 20 แห่ง คาดว่าจะใช้งบลงทุนในการขยายสาขาใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่มีการลงทุนจำนวน 10 ล้านบาท และเพิ่มจำนวนพนักงานจำนวน 30 คน จากปัจจุบันมีอยู่ 130 คน

"ธุรกิจนี้แข่งขันด้วยเรต ซึ่งเราว่าเรตเราดีที่สุด และเป็นมาตรฐานเดียวกันทุกสาขา และการบริการที่มุ่งเน้นมาโดยตลอด และยุคนี้พยายามทำแบรนด์ให้เป็นลุกใหม่ โดยรับคนที่เป็นกลุ่มเจนใหม่ๆ เข้ามาทำงาน เพื่อสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง สัดส่วนคนเข้ามาใหม่จะอายุเฉลี่ย 20 ต้นๆ และรุ่นอายุ 60 ยังคงทำงานอยู่" นางสาวธณัทร์ษรินกล่าวและว่า

สำหรับภาพรวมการแข่งขันในธุรกิจการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราถือว่าค่อนข้างรุนแรงภายหลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดให้มีการขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจนี้ได้อย่างเสรี และสามารถยื่นขอใบอนุญาตได้จากเดิมปีละ 2 ครั้งเป็นไตรมาสละ 1 ครั้ง หรือ 4 ครั้งต่อปี โดยในปีที่ผ่านมามีจำนวนผู้ประกอบการร้านใหม่เปิดให้บริการกรุงเทพฯ เติบโต 24% หรือประมาณ 400 ราย โดยปัจจุบันมีผู้ประกอบทั่วประเทศจำนวนกว่า 1.6 พันราย ตลอดจนการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ที่จะทำให้เกิดการแข่งขันสูงขึ้น แต่ก็มีทั้งโอกาสและอุปสรรคที่บริษัทต้องเตรียมตัว

ส่วนความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน นางสาวธณัทร์ษรินมองว่าไม่ได้มีผลกระทบกับบริษัทมากนัก เนื่องจากบริษัทมีการบริหารการซื้อมาขายไปที่รวดเร็ว เนื่องจากบริษัทไม่เน้นเรื่องการเก็งกำไรจากส่วนต่างอัตราแลกเปลี่ยนจึงไม่มีผลกระทบ ทั้งนี้ สกุลเงินที่ได้รับความนิยมซื้อขายแลกเปลี่ยน ได้แก่ ดอลลาร์สหรัฐฯ หยวน-จีน ,เยน-ญี่ปุ่น, วอน-เกาหลี, และดอลลาร์ฮ่องกง

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,138 วันที่ 10 - 12 มีนาคม พ.ศ. 2559