ความเห็นนักวิเคราะห์ JAS ซื้อหุ้นคืน 6 พันล้านบาท

10 มี.ค. 2559 | 06:30 น.
จากกรณีบริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 7 มีนาคม ที่ผ่านมาว่า คณะกรรมการหรือบอร์ดได้มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนวงเงิน ประมาณ 6 พันล้านบาท จํานวนหุ้นที่จะซื้อคืนประมาณ 20% ของหุ้นที่จําหน่ายได้แล้วทั้งหมด โดยจะเสนอซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นของบริษัท เป็นการทั่วไป ราคาที่จะเสนอซื้อหุ้นคืน ประมาณ 5.00 บาทต่อหุ้น ซึ่งการซื้อหุ้นคืนจะเกิดขึ้นภายหลังการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นของบริษัท ในการประชุมสามัญประจำปีในเดือนเมษายนนี้

[caption id="attachment_36919" align="aligncenter" width="503"] ราคาหุ้น  JAS ราคาหุ้น JAS[/caption]

สำหรับความเห็นของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ต่อกรณีดังกล่าว โดยบริษัทหลักทรัพย์(บล.) กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) แนะนำ "ขาย"หุ้น JAS โดยให้ราคาพื้นฐาน 2.42 บาท โดยเห็นว่าการประกาศซื้อหุ้นคืนจะเป็นปัจจัยบวกต่อราคาหุ้นในระยะสั้น

ฝ่ายวิจัย บล.กสิกรไทยฯ ระบุว่า ค่อนข้างประหลาดในต่อแผนการซื้อหุ้นคืน เนื่องจาก JAS ยังไม่ได้จ่ายค่าคลื่น 900 MHz โดยการซื้อหุ้นคืนน่าจะทำให้เกิดความกังวลมากขึ้นต่อความสามารถในการจ่ายค่าคลื่น ซึ่งหาก JAS ไม่สามารถจ่ายค่าคลื่นได้ น่าจะสร้างความเสี่ยงต่อการทำธุรกิจปัจจุบันที่ กสทช. อาจจะมีการพิจารณาไม่ต่อใบอนุญาต รวมทั้งถูกฟ้องร้องเรียกค่าชดเชย

อย่างไรก็ตามหากมีการซื้อหุ้นคืนจริง โดยใช้สมมติฐาน JAS จะซื้อหุ้นคืนได้ 1,200 ล้านหุ้นที่ ราคา 5 บาท JAS น่าจะมีการลดทุนภายหลัง และจะส่งผลให้จำนวนหุ้นจดทะเบียนลดลง 17% เป็น 5,933 ล้านหุ้นจาก 7,133 ล้านหุ้น และทำให้ขาดทุนสุทธิต่อหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 0.46 บาท จาก 0.39 บาท ทั้งนี้ บล.กสิกรไทยฯ มีสมมติฐานว่า JAS สามารถจ่ายค่าคลื่นได้ และจะรายงานขาดทุนสุทธิในปี 2559-2561

ขณะที่บล.ทิสโก้ ให้คำนิยม JAS ว่า เหลือแต่กระดูก โดยระบุว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ JAS ได้ทำแบบนี้ (การซื้อหุ้นคืนครั้งสุดท้ายสิ้นสุดในวันที่ 18 ธ.ค. 57) แต่อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมา JAS มีการซื้อหุ้นคืนในราคาที่ต่ำกว่าราคาในตลาด หากบริษัทประกาศรับซื้อหุ้นคืนที่ 2.96 บาท (ราคาเฉลี่ยย้อนหลัง 30 วัน) แทนที่ราคา 5 บาท บริษัทจะได้หุ้นคืนมากถึง 2,000 ล้านหุ้น (28% ของหุ้นทั้งหมด) แทนที่ 1,200 ล้านหุ้น

นอกจากนี้การที่ JAS ประกาศจ่ายเงินปันผลและการซื้อหุ้นคืนภายใน 2 เดือนก่อนที่จะจ่ายค่าใบอนุญาต 900 MHz และก่อนที่จะลงทุนในธุรกิจมือถือ ทำให้บริษัทจะเสียเงินสดแทบทั้งหมด (เงินสดและเงินลงทุนในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่อง 9.1 พันล้านบาท)

ถึงแม้ฝ่ายวิจัย บล.ทิสโก้ฯ จะมองว่าราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้นในระยะสั้น เว้นแต่ว่าจะมีความคืบหน้าในการทำธุรกิจมือถือ มองว่าการใช้เงินสดในปริมาณที่มากอาจกระทบต่อการดำเนินงานและความสามารถในการแข่งขันในอนาคตของบริษัทได้ ดังนั้นแนะนำ "ถือ" หุ้น JAS โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 2.80 บาท

ด้าน บล.ดีบีเอส วิเคอร์สฯ ตีประเด็นเรื่องการซื้อหุ้นคืนของ JAS เป็น 2 เรื่อง คือ 1.การที่ JAS ยังจะใช้เงินซื้อหุ้นคืนทั้งๆ ที่ยังอยู่ในช่วงการหาเงินมาจ่ายค่าใบอนุญาตคลื่น 900 MHz ถึง 7.56 หมื่นล้านบาท แสดงว่าจะละทิ้งคลื่นนี้แล้ว ทำให้มีการเก็งกำไรหุ้น JAS ที่จะไปโฟกัสธุรกิจเดิม คือ อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง และทำให้ผู้เล่นรายอื่นๆ ปรับตัวดีขึ้น เพราะไม่ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากรายที่ 4 ที่เข้ามาใหม่

และ 2. JAS แจ้งว่าจะซื้อหุ้นคืนเป็นการทั่วไป (Genneral Offer : GO )ไม่ได้ซื้อในกระดานที่ราคาประมาณ 5.00 บาทต่อหุ้น ทำให้นักลงทุนมีกรซื้อหุ้น JAS เพื่อจะไปขายให้บริษัทในราคาที่สูง หากพิจารณาในประเด็นที่สองจะมีความเสี่ยงมากขึ้น ดังนี้

ประเด็นแรก JAS ยังไม่ได้ชี้ชัดว่าจะใช้ราคาใด จากราคาเฉลี่ยแบบที่ 1 หรือ 2 ซึ่งมีราคาแตกต่างกันมาก หากใช้แบบที่ 1 ก็มีราคาต่ำกว่าราคาปัจจุบัน 20 % หากใช้แบบที่ 2 ดูเหมือนจะได้ราคาดี คือ สูงกว่าราคาหุ้นปัจจุบันอีก 35 % แต่ก็สามารถนำไปเสนอขายได้แค่บางส่วน คือ ทางบริษัทจะรับซื้อในสัดส่วนเพียง 16.82-20 % จากจำนวนหุ้นที่ไปเสนอขาย หากเป็นกรณีมีจำนวนหุ้นนำไปขายสูงกว่าที่บริษัทรับซื้อ ดังนั้นส่วนเพิ่มที่ได้รับจะลดลงตามสัดส่วนที่รับซื้อเป็น 5.9-7 % เท่านั้น

ประเด็นที่ 2 ไม่ค่อยเห็นนักที่บริษัทจะใช้ราคารับซื้อหุ้นคืนที่ย้อนหลังไปถึง 1 ปี ในกรณีปกติมักจะใช้ราคาเฉลี่ยย้อนหลัง 30 วัน ขณะที่การซื้อหุ้นคืนแบบทั่วไปอาจไม่ได้กำหนดเกณฑ์ที่แน่ชัดเกี่ยวกับราคาที่รับซื้อคืน แต่หากตลาดกำหนดว่าให้บริษัทกำหนดราคาเฉลี่ยย้อนหลังได้เพียง 30 วัน ราคารับซื้อคืนจะเป็น 2.96 บาทต่อหุ้นเท่านั้น

ประเด็นที่ 3 ตามเกณฑ์"คู่มือการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน" ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (มิ.ย.54 ) ได้ระบุว่าบริษัทต้องมีคุณสมบัติประการหนึ่งว่า มีกำไรสะสม โดยการซื้อหุ้นคืนจะทำได้ไม่เกินวงเงินสะสมในงบการเงินเฉพาะกิจการ ซึ่งในงวดสิ้นปี 2558 JAS มีเพียง 2.3 พันล้านบาท ขณะที่จะใช้เงินประมาณ 6 พันล้านบาท ในการซื้อหุ้นคืนก็จะไม่เพียงพอ อีกทั้งบริษัทได้ประกาศปันผลล่าสุดที่ 0.30 บาทต่อหุ้น หรือ 2.14 พันล้านบาท (XD 2559 )ไปแล้ว แต่ยังกำหนดวันจ่ายปันผล หากหักส่วนนี้ไป กำไรสะสมก็ยิ่งลดลง ต่อประเด็นนี้ บล.ดีบีเอสฯยังตั้งข้อสงสัยว่า JAS ยังจะสามารถทำการซื้อหุ้นคืนได้อีกหรือไม่

ประเด็นที่ 4 มีเกณฑ์อีกหนึ่งข้อ คือ การซื้อหุ้นคืนต้องไม่มีลักษณะเป็นการผลักดันราคา หรือทำให้ราคาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯเปลี่ยนแปลงผิดไปจากสภาพปกติของตลาด แต่การที่บริษัทประกาศราคาซื้อหุ้นคืนที่ประมาณ 5.00 บาทนั้น ทำให้ราคาหุ้น ณ วันประกาศ มีการเคลื่อนไหวแกว่งตัวอย่างผิดปกติมาก

ในประเด็นนี้ บล.ดีบีเอสฯ จึงมีความสงสัยว่าตลาดจะตีความว่าเป็นการผลักดันราคาได้หรือไม่ หากได้ก็จะทำให้การซื้อหุ้นคืนครั้งนี้ล้มเลิกไป

มีอีกมุมมองที่แตกต่าง และน่าสนใจ โดยบล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย)ฯ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า การซื้อหุ้นคืนของ JAS น่าจะมีความเชื่อมโยงกับการขายหุ้นจำนวนหนึ่งให้กับพันธมิตรที่จะเข้ามาร่วมถือหุ้น JAS โดยอาจจะซื้อหุ้นคืนและขายให้พันธมิตรในราคาที่มีส่วนลด ส่วนกรณีการติดต่อขอสินเชื่อคาดว่า JAS ยังดำเนินการอยู่ แต่อาจขอให้ธนาคารพาณิชย์เก็บเป็นความลับจนกว่าจะมีความชัดเจนเรื่องพันธมิตร หรือการประกาศเพิ่มทุน

ทั้งหมด คือ ความเห็นของนักวิเคราะห์ต่อการสร้างเซอร์ไพรส์ของ JAS ประกาศซื้อหุ้นคืนวงเงิน 6 พันล้านบาท จนทำให้นักลงทุนงงงวยว่า JAS กำลังคิดอะไรอยู่ อีกไม่นานมีคำตอบ !

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,138 วันที่ 10 - 12 มีนาคม พ.ศ. 2559