'บีซีพีจี' กำไรพุ่งในไตรมาส 3 เกือบ 1,200 ล้านบาท!!

07 พ.ย. 2561 | 04:41 น.
'บีซีพีจี' กำไรพุ่งในไตรมาส 3 เกือบ 1,200 ล้านบาท เผย รับรู้กำไรสุทธิจากการจำหน่ายสินทรัพย์เข้ากองทุน และควบคุมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้ และผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นไปตามแผน

นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3 ของปี 2561 มีกำไร 1,139 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 900 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว สาเหตุหลักมาจากการรับรู้กำไรสุทธิจากการจำหน่ายสินทรัพย์เข้ากองทุน นอกจากนี้ การควบคุมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ และผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นไปตามแผน ส่งผลให้มีผลกำไรเพิ่มจากปีที่แล้ว 344 ล้านบาท

โดยในไตรมาส 3 ของปีนี้ บริษัทฯ ได้จำหน่ายสินทรัพย์ประเภทโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่น จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ Nikaho และโครงการ Nagi ขนาดกำลังการผลิตรวมประมาณ 27.6 เมกะวัตต์ ให้แก่กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานในประเทศญี่ปุ่น ตั้งขึ้นใหม่ภายใต้ชื่อ "Bangchak Solar yield-co Godo Kaisha" ในราคา 11,500 ล้านเยน (เทียบเท่าจำนวนเงิน 3,372 ล้านบาท) หลังหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ แล้ว เป็นเงินที่ได้รับสุทธิจากกองทุนทั้งสิ้น 10,388 ล้านเยน (เทียบเท่าจำนวนเงิน 3,046 ล้านบาท) ทั้งนี้ บริษัทฯ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกองทุนดังกล่าว ทั้งในการร่วมลงทุนหรือร่วมบริหารกองทุนแต่อย่างใด (อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อเยนเท่ากับ 0.29323) หลังจากการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนฯ บริษัท BCPG Engineering ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ ที่ประเทศญี่ปุ่น ได้ทำสัญญาราย 5 ปี ให้บริการดำเนินการและซ่อมบำรุง (Operation & Maintenance) โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้ง 2 แห่ง กับกองทุนฯ

 

[caption id="attachment_343653" align="aligncenter" width="503"] บัณฑิต สะเพียรชัย บัณฑิต สะเพียรชัย[/caption]

การขายสินทรัพย์ครั้งนี้เป็นไปตามแผนกลยุทธ์ของบริษัทฯ เพื่อสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนแก่ผู้ถือหุ้นให้สูงที่สุด ทำให้บริษัทฯ มีเงินสดในมือรองรับการลงทุนในโครงการใหม่ ๆ ที่มีโอกาสในการเติบโตและการสร้างผลตอบแทนในระดับสูง ทั้งในประเทศและต่างประเทศต่อไป

สำหรับผลการดำเนินงานของโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้งในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่นยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้มี EBITDA ประมาณ 634 ล้านบาท สูงขึ้นกว่าปีที่แล้วประมาณร้อยละ 4 ในขณะที่ โครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศฟิลิปปินส์มีผลการดำเนินงานดีขึ้นมากจากไตรมาสที่แล้ว ส่วนโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งรับรู้ผลกำไรเต็มไตรมาส ก็มีการปฏิบัติงานที่มีเสถียรภาพ ทำให้บริษัทฯ มีส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลงทุนทั้ง 2 แห่ง ประมาณ 222 ล้านบาท หรือสูงขึ้นกว่าปีที่แล้วประมาณร้อยละ 83 เป็นผลให้บริษัทฯ มี EBITDA รวมส่วนแบ่งการลงทุนดังกล่าวประมาณ 856 ล้านบาท หรือสูงขึ้นกว่าปีที่แล้วประมาณร้อยละ 17 ทั้งนี้ กำไรสุทธิไม่รวมการรับรู้กำไรจากการจำหน่ายทรัพย์สินและรายการพิเศษ คิดเป็นเงินประมาณ 412 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วประมาณร้อยละ 14

ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว