หุ้นของบริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยางพาราแปรรูป เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นวันแรก ในวันที่ 7 พ.ย. นี้ จากราคาจองหุ้นละ 2.58 บาท (
อัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E) เท่ากับ 9.96 เท่า)
นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า การระดมทุนครั้งนี้ NER จะนำเงิน
ที่ได้ประมาณ 1,500 ล้านบาท ใช้ในการลงทุน 40 ล้านบาท ในเครื่องจักร เพื่อปรับปรุงเครื่องจักรยางแผ่นผสม (RSS Mixtures Rubber) ทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 60,000 ตันต่อปี หรือเพิ่มขึ้น 26% ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2562
บริษัทมีแผนลงทุน 465 ล้านบาท เพื่อสร้างโรงงานใหม่ ขยายกำลังการผลิตยางแท่ง (STR) และยางแท่งผสม (Mixtures Rubber) กำลังการผลิต 172,800 ตันต่อปี หรือเพิ่มขึ้น 74% ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2563 ทำให้มีกำลังการผลิตรวม 465,600 ตันต่อปี
[caption id="attachment_343607" align="aligncenter" width="336"]
ชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์[/caption]
ส่วนเงินระดมทุนที่เหลืออีก 1,000 ล้านบาท ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ นายชูวิทย์ กล่าวว่า จากการดำเนินธุรกิจของบริษัท เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงด้านความผันผวนของราคายาง เราจะกำหนดราคาขายในช่วงเวลาเดียวกับที่ซื้อวัตถุดิบเข้ามา และสต๊อกสินค้าก่อนส่งมอบประมาณ 4-5 เดือน ทำให้มีต้นทุนดอกเบี้ยประมาณ 0.20% ต่อเดือน เมื่อได้เงินทุนหมุนเวียนจากการระดมทุนครั้งนี้ ทำให้ช่วยลดต้นทุนได้ปีละ 60-100 ล้านบาท
นอกจากนี้ จากการที่บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ นายชูวิทย์ กล่าวว่า ได้ขอลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารลง 0.25-0.50% จากวงเงินกู้ 3,800 ล้านบาท บริษัทจะประหยัดดอกเบี้ยได้อีกราว ๆ ปีละ 100 ล้านบาท
ปัจจุบัน บริษัทมีลูกค้าจำนวน 22 ราย อาทิ บริดจสโตนมีสัดส่วน 11%, โรงงานของจีน 8% และเทรดเดอร์จากจีนและสิงคโปร์ รวมถึงโรงงานอื่น ๆ กระจายกันรายละประมาณ 5-10% บริษัทมีแผนเพิ่มลูกค้าในอินเดียและผู้ผลิตยางรายใหญ่ในยุโรป โดยบริษัทอยู่ระหว่างขอรับรองมาตรฐานจากยุโรป ถ้าผ่านก็จะได้ลูกค้าเพิ่มขึ้นและต้องเพิ่มกำลังการผลิตอีกในอนาคต
สำหรับหุ้นของบริษัทที่เข้าซื้อขาย นายชูวิทย์ กล่าวว่า บริษัทฯ มั่นใจว่าเป็นกิจการที่ดี มีความมั่นคง มุ่งมั่นในธุรกิจหลัก พัฒนาสินค้าให้ได้ตามความต้องการของลูกค้า ส่งมอบตรงเวลา โดยไม่มีการลงทุนในธุรกิจอื่น ๆ ที่แตกแขนงไป ไม่มีบริษัทย่อย ไม่มีความซับซ้อน มุ่งมั่นให้ธุรกิจมีการเติบโตอย่างสม่ำเสมอ ไม่ตํ่ากว่าปีละ 10% มีนโยบายจ่ายเงินปันผล 40% ของกำไรสุทธิ
"ถ้าเปรียบเทียบแล้ว NER ก็เป็นเหมือนนักลงทุน VI (Value Investor) เราทำกำไรได้ มีผลตอบแทนสม่ำเสมอ โดยมีความเสี่ยงตํ่า ทำงานตรงไปตรงมา โปร่งใส ตรวจสอบได้ ปัจจุบันมีผู้ถือหุ้นของบริษัทมากถึงกว่า 6,000 ราย และอนาคตของอุตสาหกรรมยางยังมีทิศทางการเติบโตได้ดีตามเศรษฐกิจ"
ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2560 บริษัทมีรายได้รวม 9,820 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 224 ล้านบาท และสำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 2561 บริษัทมีรายได้รวม 3,977 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 167 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 4.19%
ที่ผ่านมา NER ได้เดินสายเพื่อนำเสนอข้อมูลบริษัทแก่นักลงทุนในประเทศ จำนวน 17 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ระยอง นครปฐม ราชบุรี อุบลราชธานี สุรินทร์ นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี เชียงใหม่ พิษณุโลก นครสวรรค์ บุรีรัมย์ ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี สงขลา และกรุงเทพมหานคร และต่างประเทศ 3 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ ฮ่องกง และจีน เพื่อให้นักลงทุน สถาบัน และคู่ค้า ได้ทำความเข้าใจและรู้จักบริษัทมากยิ่งขึ้น
NER ได้ขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 600 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาท คิดเป็น 38.96% ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมด ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียน 770 ล้านบาท แบ่งเป็น หุ้นสามัญ 1,540 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาท
หน้า 17-18 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับ 3,416 วันที่ 8-10 พฤศจิกายน 2561