"ดีแทค" เผยผลประกอบการ 9 เดือน EBITDA margin อยู่ที่ 41.5%

21 ต.ค. 2561 | 09:15 น.
ดีแทคเผยประกาศผลประกอบการ 9 เดือน EBITDA margin อยู่ที่ 41.5% ยอดจำนวนฐานลูกค้ารวมอยู่ที่ 21.3 ล้านราย ย้ำ! มีโครงข่ายให้บริการครอบคลุม 94% ของประชากรทั่วประเทศ

 

[caption id="attachment_335938" align="aligncenter" width="503"] อเล็กซานดรา ไรช์ อเล็กซานดรา ไรช์[/caption]

นางอเล็กซานดรา ไรช์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค กล่าวว่า หลังจากดำเนินการมา 27 ปี สัญญาสัมปทานของดีแทคได้สิ้นสุดลงในวันที่ 15 ก.ย. 2561 ที่ผ่านมา ก่อนที่สัญญาสัมปทานจะสิ้นสุดลงนั้น ดีแทคได้จัดหาคลื่นความถี่ให้เพียงพอต่อการให้บริการ และยังสามารถใช้โครงสร้างพื้นฐานภายใต้สัญญาสัมปทานที่ทำกับ CAT เพื่อให้บริการการสื่อสารไร้สายแก่ลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากนี้ ดีแทคยังมีโอกาสที่จะมีคลื่นความถี่เพิ่มเติมจากการประมูลความถี่ในช่วงปลายเดือน ต.ค. เพื่อเสริมสร้างพอร์ทความถี่ที่ให้บริการและโครงข่ายให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือน ก.ย. 2561 จำนวนฐานลูกค้ารวมอยู่ที่ 21.3 ล้านราย ประมาณ 99% ของจำนวนนี้ ได้ลงทะเบียนภายใต้ ดีแทค ไตรเน็ต (DTN) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของดีแทคที่ได้รับใบอนุญาตใช้คลื่นความถี่ 2100 MHz จาก กสทช. การเพิ่มพื้นที่ให้บริการโครงข่าย "dtac-T Turbo" (ดีแทคเทอร์โบ) ก็เดินหน้าได้เร็วกว่าแผนที่วางไว้ โดยมีจำนวนสถานีฐานที่ติดตั้งเสร็จสมบูรณ์แล้วเกือบ 6,000 สถานีฐาน ณ สิ้นไตรมาสที่ 3/2561 นอกเหนือจากนั้น ดีแทคยังได้พัฒนาโครงข่าย 2100 MHz อย่างต่อเนื่อง ทั้งในการเพิ่มพื้นที่การครอบคลุมสัญญาณและความจุของโครงข่าย ซึ่งโครงข่ายโดยรวมของดีแทคครอบคลุม 94% ของจำนวนประชากรทั่วประเทศ ดีแทคยังให้บริการแก่ลูกค้าด้วยความจริงใจและซื่อสัตย์ในช่วงการเปลี่ยนผ่าน และได้มีการสื่อสารกับลูกค้าอย่างเข้มข้นก่อนที่สัญญาสัมปทานจะสิ้นสุดลง


090861-1927-9-335x503-8-335x503

ขณะที่ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2561 รายได้จากการให้บริการหลัก (รายได้จากบริการเสียงและข้อมูล) เพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 0.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม รายได้จากการให้บริการไม่รวม IC สำหรับช่วง 3 ไตรมาสปีนี้ ลดลง 1.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการลดลงของรายได้จากบริการโทรศัพท์ทางไกลระหว่างประเทศ (IDD) และรายได้จากบริการอื่น ๆ ถึงแม้ว่าดีแทคเริ่มชำระเงินให้กับ TOT ภายใต้สัญญาการให้บริการบนคลื่นความถี่ 2300 MHz ที่ได้ทำลงนามกันตั้งแต่ไตรมาสที่ 2/2561 แต่ EBITDA margin สำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2561 ยังคงสูงอยู่ที่ 41.5% ของรายได้รวมทั้งหมด ถ้าไม่รวมค่าใช้จ่ายจำนวนนี้ EBITDA margin สำหรับช่วง 3 ไตรมาสนี้ จะอยู่ที่ 45.0%

"เรามีการเตรียมการในช่วงสิ้นสุดสัมปทานไว้เป็นอย่างดี เพื่อให้มั่นใจได้ว่า ลูกค้าของเราจะได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด เป้าหมายสำคัญในตอนนี้ คือ การเพิ่มพื้นที่ให้บริการโครงข่าย 2300 MHz และการโอนย้ายลูกค้าที่เหลือมาใช้บริการบนโครงข่าย DTN ด้วยโอกาสในการครอบครองช่วงคลื่นความถี่ต่ำเพิ่มขึ้น เพื่อการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของพอร์ทคลื่นความถี่ที่ให้บริการ ดีแทคจะอยู่ในตำแหน่งที่ดียิ่งขึ้นในการแข่งขัน และก้าวทันการเติบโตของตลาดได้" อเล็กซานดรา กล่าว

สำหรับกำไรสุทธิสำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2561 อยู่ที่ 572 ล้านบาท เนื่องจากค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่สูงขึ้น จากการลงทุนในการขยายโครงข่ายอย่างต่อเนื่อง และจากค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่เงินสดที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว จำนวนประมาณ 1,400 ล้านบาท จากการตกลงยุติข้อพิพาทการเป็นเจ้าของเสาสัญญาณกับทาง CAT ก่อนที่สัมปทานจะสิ้นสุดลง นอกจากนี้ กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (EBITDA – CAPEX) สำหรับช่วง 9 เดือนแรกนี้ ยังคงแข็งแกร่งที่ 11,600 ล้านบาท และอัตราส่วนทางการเงินต่าง ๆ ยังคงอยู่ในระดับที่ดี โดยมีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA อยู่ที่ 0.7 เท่า และอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 2.8 เท่า ดีแทคมีเงินสด ณ สิ้นสุดไตรมาส 3/2561 อยู่ที่ 26,000 ล้านบาท ซึ่งดีแทคได้ปรับการประมาณการผลประกอบการสำหรับปี 2561 โดยปรับลดรายได้จากการให้บริการไม่รวม IC ลงในระดับตัวเลขหลักเดียวช่วงต่ำ (low single digit decline), EBITDA margin อยู่ในช่วง 36%-38% และ CAPEX อยู่ในช่วง 18,000–20,000 ล้านบาท

ด้าน นายดิลิป ปาล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการเงินของดีแทค กล่าวว่า "แม้ว่าเราได้ลงทุนอย่างหนักเพื่อเร่งการเพิ่มพื้นที่ให้บริการโครงข่ายความถี่ 2300 MHz กระแสเงินสดจากการดำเนินการของเรายังคงแข็งแกร่ง รายได้จากการให้บริการยังถูกกดดันชั่วคราวจนถึงปลายไตรมาสที่ 3 เนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการหมดอายุสัญญาสัมปทาน อย่างไรก็ตาม เราบริหารจัดการรักษา EBITDA margin ให้อยู่ในระดับเหนือกว่า 40% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี ฐานะทางการเงินของเราอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่นต่อการลงทุนในอนาคต"


ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว