ทีดีอาร์ไอแนะทางออกของการ "ผลิตและพัฒนากำลังคน" ในโลกยุคใหม่

18 ต.ค. 2561 | 11:40 น.
ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาแรงงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ให้มุมมองเชิงมหภาคของการผลิตและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในยุคไทยแลนด์ 4.0 โดยระบุว่า ประเทศไทยยังมีกลิ่นอายของประเทศที่มีประชากรทำมาหากินในภาคเกษตรอยู่เป็นจำนวนมาก ไม่ต่ำกว่า 11.6 ล้านคน (ลดลงไป 1 ล้านคน ใน 10 ปี) แต่สร้างรายได้ให้กับผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) ในปี 2560 ได้เพียง 0.61 ล้านล้านบาท หรือ ประมาณร้อยละ 5.9 ของ GDP โดยรวมเท่านั้น เมื่อเทียบกับภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ ภาคเกษตรจึงไม่ใช่แหล่งรายได้ที่สำคัญ แต่เป็นวัตถุดิบที่จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นประเทศพัฒนาแล้ว จุดแข็งของภาคเกษตร คือ มีที่ดินมากกว่า 60 ล้านไร่ มีน้ำชลประทานมากกว่า 30 ล้านไร่ มีคนทำงานเกือบ 12 ล้านคน จุดอ่อนของเกษตรกร คือ มากกว่า 8 ล้านคน หรือ มากกว่าร้อยละ 70 มีภูมิหลังการศึกษาระดับประถมศึกษาหรือต่ำกว่า อายุเฉลี่ยเกือบ 60 ปี จัดเป็นเกษตรกรผู้สูงอายุ ที่ยากจะยกระดับด้วยเทคโนโลยี แต่ยังมีเกษตรกรอีกมากกว่า 3 ล้านคน ที่มีการศึกษาสูงกว่าระดับประถม มีความหวังที่จะพัฒนาให้เป็นเกษตรกร 4.0 (Smart Farmer) ได้จำนวนหนึ่ง จุดอ่อนที่ถือเป็นเงื่อนไขสำคัญจากการศึกษาของทีดีอาร์ไอ คือ เกษตรกรติดกับดักรายได้ต่ำ ไม่แน่นอน และหนี้สิ้นล้นพ้นตัว ถึงแม้จะทำงานหนัก (มากกว่า 10 ชั่วโมงต่อวัน) แต่ก็ได้เงินน้อยมาก ส่วนมากมีเงินออมน้อย และในที่สุดตกอยู่ในสภาพจนก่อนชราภาพ

C6E15AE5-FD91-4EC3-9AFF-C7CEC54A0651

ทางออกจึงเหลือไม่มากที่จะพัฒนาเกษตรกร เช่น อาจจะแบ่งเกษตรกรเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก พวกที่ตั้งเป้าไว้เพียงทำอย่างไรให้มีกิน หมดหนี้ มีคุณภาพชีวิตที่สูงขึ้น วิธีการก็คือ ปฏิบัติตามแนวทางรัฐบาล ซึ่งส่งเสริมโดยเน้นการพัฒนาด้วย "ศาสตร์พระราชา" หรือ "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงผสมผสานกับทฤษฎีใหม่" โดยรัฐบาลอาจจะต้อง Set Zero เกษตรกรเหล่านี้ก่อน คือ หยุดพักหนี้และดอกเบี้ยอย่างน้อย 5 ปีก่อน เป็นแรงจูงใจให้เข้าโครงการฟื้นชีวิต ซึ่งเชื่อว่าพวกเขาจะมีกินและมีเงินทยอยใช้หนี้และดอกเบี้ยคืนได้ตั้งแต่ปีที่ 6 เป็นต้นไป ภายในระยะเวลาอีก 10 ปี ก็น่าจะปลดหนี้ได้เป็นส่วนใหญ่ กลุ่มที่ 2 พวกที่พอมีความรู้ให้เน้นทำการเกษตรเชิงพาณิชย์ ด้วยการทำการเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) โดยให้ความรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการฟาร์มสมัยใหม่ และสนับสนุนให้รวมแปลงให้เป็นเกษตรแปลงใหญ่ ตามแนวทางที่รัฐบาลดำเนินการมาบ้างแล้ว โจทย์ที่เหลือจึงเป็นหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องจะต้องทุ่มเทให้กลุ่มเกษตรกรทำการผลิตเชิงพาณิชย์ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ (เกษตร 4.0) โดยใช้ตลาดนำทาง หากดำเนินการจนประสบผลสำเร็จ จะทำให้เกษตรกรกลุ่มนี้สามารถปลดหนี้ มีเงินออมเพื่อคุณภาพชีวิตของครอบครัว และแรงงานกว่า 2 ล้านคน ที่ขายแรงงานอยู่ในภาคการเกษตร ซึ่งปัจจุบัน ได้ค่าแรงค่อนข้างต่ำ เฉลี่ยประมาณ 5,000 บาท หรือ ประมาณ 200 บาทต่อวัน ต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำ ก็จะพลอยได้รับค่าจ้างเฉลี่ยต่อวันสูงขึ้นตามไปด้วย

สำหรับสาขาบริการ ซึ่งเป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุด ที่มีสัดส่วนใน GDP 6.03 ล้านล้านบาท หรือ ร้อยละ 58.5 มีแรงงานที่อยู่ในสาขานี้มากกว่าสาขาการเกษตรและอุตสาหกรรม ในต้นปี 2561 มีแรงงานจำนวนประมาณ 17 ล้านคน หรือ มากกว่าร้อยละ 45.5 สาขา อาจจะกล่าวได้ว่าสาขาบริการสามารถดูดซับกำลังแรงงานที่เพิ่มขึ้นในช่วง 10 ปี และแรงงานที่เคลื่อนย้ายมาจากสาขาเกษตรไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านคน สาขานี้มีผู้จบระดับสูงกว่าระดับประถมศึกษาประมาณ 12 ล้านคน หรือ ร้อยละ 70 และเป็นแหล่งรองรับผู้จบปริญญาตรีและปริญญาโทสูงที่สุด เทียบกับทุกสาขาบริการ จำนวน 4.7 ล้านคน หรือ ร้อยละ 28 โดยสาขาย่อยที่เป็นองค์ประกอบใหญ่ ๆ คือ สาขาขายส่งขายปลีกและซ่อมบำรุง มีแรงงานมากกว่า 6 ล้านคน และสาขาโรงแรม ท่องเที่ยว และภัตตาคาร เกือบ 3 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่มีภูมิหลังการศึกษาค่อนข้างดี น่าจะสามารถปรับตัวให้เข้ากับบรรยากาศการเปลี่ยนแปลงการพัฒนาประเทศไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 และบริการ 4.0 ได้ดีในภาพรวม

บางสาขาบริการที่มีการแข่งขันสูงและมีข้อจำกัดในการสร้างรายได้ ต้องหันมาลดต้นทุนเป็นสำคัญ เช่น สาขาที่เกี่ยวข้องกับการเป็นตัวกลางทางการเงิน มีคนทำงานมากกว่า 4 แสนคน การรุกเข้ามาของโลกดิจิทัล เช่น Fintech ทำให้เกิดบริการออนไลน์ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทำให้ความจำเป็นที่จะต้องมีสาขาบริการจำนวนมากใกล้ผู้รับบริการไม่จำเป็นและไม่คุ้มทุนอีกต่อไป ทำให้ต้องปิดสาขา ถ้าพนักงานไม่สามารถปรับตัวได้กับการเปลี่ยนแปลงก็จะต้องลาออก อีกสาขาที่มีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลง มีคนทำงานเพิ่มขึ้นปีละหมื่นคนต่อเนื่องมานับ 10 ปี มีคนทำงานในปัจจุบันมากกว่า 1.1 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบุคลากรครูและอาจารย์ จำนวนมากต้องเผชิญกับปัญหาความไม่แน่นอน 2 เรื่อง คือ ไม่มีความรู้ที่ทันสมัยเพียงพอที่จะสอนเด็กนักเรียนและนักศึกษาให้ทันยุคทันสมัย (ในศตวรรษที่ 21) อาจจะมีบางส่วนต้องลาออกไป อีกปัญหาหนึ่งที่ต้องเผชิญ ก็คือ ถึงแม้ครูอาจารย์จะปรับตัวได้ดี แต่ไม่มีเด็กนักเรียนนักศึกษาให้สอน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเด็กเข้าเรียนลดลง จากที่เคยเข้าเรียนชั้น ป.1 ไม่ต่ำกว่า 1.4 ล้านคน ปัจจุบันเหลือเพียง 0.7 ล้านคนเศษเท่านั้น ผลต่อเนื่องก็คือ จำนวนเด็กต่อชั้นเรียนในระดับ สพฐ หรือ นักศึกษาที่เข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย บางสาขาวิชามีเด็กลดลงและ/หรือไม่จำเป็นต้องเข้ามาเรียนแบบเดิม ๆ แต่ปรับเปลี่ยนไปเรียนออนไลน์ (ในอนาคต) ผลคือ ปริมาณค่าเล่าเรียนและเงินอุดหนุนมีไม่พอจ่ายเงินเดือนครู อาจารย์ และค่าดูแลอาคารสถานที่ในภาวะการแข่งขันสูง ในที่สุดผู้แพ้ก็ต้องปิดสาขาวิชาและ/หรือต้องปิดสถานศึกษา ต้องยกเลิกการจ้างครู อาจารย์ ซึ่งน่าจะเกิดก่อนกับการศึกษาเอกชนที่ปรับตัวเองไม่ได้ในทุกระดับการศึกษา

ส่วนสาขาอุตสาหกรรม ที่เป็นความหวังของประเทศ ต้องเผชิญกับการแข่งขันทั้งภายนอกและภายในประเทศ โดยภาพรวมมีความสำคัญต่อประเทศ มีผลต่อปริมาณ GDP คิดเป็น 3.67 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 35.6 เน้นเฉพาะสาขาย่อยที่สำคัญที่สุด คือ อุตสาหกรรมการผลิต มีมูลค่า GDP 2.82 ล้านล้านบาท ในปี 2560 และมีแรงงานอยู่ประมาณ 6.3 ล้านคน ในต้นปี 2561 ภูมิหลังการศึกษาระดับล่าง (ม.ต้นหรือต่ำกว่า) ถึง 3.47 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 55.2 ระดับกลาง (ปวช.-ม.ปลาย-ปวส.) จำนวน 1.83 ล้านคน หรือ ร้อยละ 29.0 และระดับสูง (ป.ตรีขึ้นไป) จำนวน 1 ล้านคน หรือ ร้อยละ 15.8 อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดเป็นมูลค่าเพิ่มต่อหัว สาขาการผลิตนี้มีค่า 447,619 บาทต่อคนต่อปี เปรียบเทียบกับสาขาบริการและสาขาเกษตร คือ 354,706 บาท และ 51,758 บาท (ตามลำดับ) การมุ่งเป้าไปที่ภาคอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อยกระดับรายได้โดยภาพรวม จากประมาณ 276,300 บาทต่อคนต่อปี เป็น 480,000 บาทต่อคนต่อปี เพื่อให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยอาศัยอุตสาหกรรมการผลิต (เน้นไปที่ 5 กลุ่มอุตสาหกรรมเดิม และ 5 กลุ่มอุตสาหกรรมใหม่) จึงเป็นกลยุทธ์ในการพัฒนาประเทศที่เป็นไปได้ จากการศึกษาของทีดีอาร์ไอพบว่า การขยายตัวของผลิตภาพควรเกินร้อยละ 4 หรือ 5 ต่อเนื่องกันนับ 10 ปี จึงจะทำให้ประเทศไทยพ้นกับดักของประเทศกำลังพัฒนาได้

ทางออกของประเทศไทย นอกจากจะต้องปรับเปลี่ยนประเทศไทยด้วยอุตสาหกรรมการผลิตระบบใหม่ คือ อุตสาหกรรม 4.0 การที่ประเทศไทยจะมุ่งสู่ไทยแลนด์ 4.0 โดยให้น้ำหนักกับอุตสาหกรรม 4.0 ซึ่งปัจจุบันมีอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ไม่มากนักที่ได้พัฒนาตัวเองมาถึงอุตสาหกรรม 3.5 การที่มีจำนวนอุตสาหกรรมที่มีขีดความสามารถสูงพร้อมที่จะปรับตัวไปใช้เทคโนโลยีชั้นสูงจำนวนไม่มาก จึงต้องการแรงงานเลือดใหม่มากกว่าแรงงานเดิมที่มีอยู่ในระบบ ซึ่งมีเพียงประมาณร้อยละ 45 ที่จะพัฒนาผ่านระบบการฝึกอบรมที่เข้มข้น เพื่อปรับให้เป็นแรงงานผลิตภาพสูง ส่วนของแรงงานรุ่นใหม่ที่มีสมรรถนะสูงพอที่จะทำงานในอนาคตได้ ต้องเป็นแรงงานที่มีทั้งศาสตร์และศิลป์ มีความรอบรู้ โดยผ่านการศึกษาในระบบ STEAM Education หรือ ผ่านการฝึกฝนภายใต้กรอบของ Twenty First Century Skills มาแล้ว สามารถทำงานที่ต้องใช้สมรรถนะด้าน Problem Solving skills, Critical Thinking skills, Communication skills เป็นต้น เพื่อให้สามารถทำงานสร้างสรรค์ชิ้นงาน ทำสิ่งประดิษฐ์ คิดค้นสิ่งใหม่ ๆ จนเกิดเป็น Creative Workforce จำนวนมาก และก็จะมีบางส่วนที่จะกลายเป็น Innovative Workforce ในที่สุด

การทำงานในอุตสาหกรรมรุ่นใหม่นี้มี 2 กลุ่มหลักที่มีความต้องการสูงมาก คือ แรงงานระดับ Technicians ที่ผ่านการเรียนรู้จากสถาบันอาชีวศึกษาที่น่าเชื่อถือ ทำงานร่วมกับสถานประกอบการอย่างใกล้ชิด จำนวนอย่างน้อย 5 แสนคน ใน 10 ปีข้างหน้า โดยการคัดเลือกจากสถาบันอาชีวศึกษาเกือบ 850 แห่ง ทั้งที่เป็นของรัฐและเอกชนที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ จากนักศึกษาทุกชั้นปีเกือบล้านคน โดยรัฐการันตีว่า เมื่อเรียนจบแล้วได้งานทำแน่นอนและมีเงินเดือนมากกว่าผู้จบที่ไม่ได้เข้าศึกษาในสถาบันที่รัฐส่งเสริม อีกกลุ่ม คือ ผู้เรียนในระดับปริญญาตรีขึ้นไป โดยเฉพาะสาขา S&T ควรสนับสนุนทุนให้ไปเรียนที่ต่างประเทศ ระหว่างนี้อาจต้องนำเข้าผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาทำงานรวมกับคนไทยไปก่อน เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีให้นักวิจัยไทย หรือ ส่งคนไทยที่จบ ป.โท และ ป.เอก ไปเรียนเพิ่มเติมหลังปริญญา เพื่อเพิ่มเติมความรู้และประสบการณ์กลับมาพัฒนาประเทศในระยะเวลาสั้น ๆ ในช่วง 1-3 ปีข้างหน้า ในสาขาที่เกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ

ท้ายที่สุด ไม่ว่าจะเป็นสาขาการเกษตร สาขาบริการ หรือ สาขาอุตสาหกรรม หากเจ้าของหรือผู้ประกอบการอยู่ในความประมาท ไม่คิดจะปรับตัวให้รู้เท่าทันโลกยุคใหม่ (ภายใต้ Digital Era)ในที่สุดคงจะไม่สามารถอยู่รอดได้ และผลที่ตามมา ประเทศชาติก็คงจะไม่มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนดังที่เราคาดหวังกันไว้

ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว