“บิ๊กตู่”บินถกลุ่มน้ำโขง-ญี่ปุ่น มีคิวพบเอกชนชวนลงทุนไทย
วันที่ 8ต.ค.2561 เวลา 07.35 น. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะจะออกเดินทางจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ ไปยังท่าอากาศยานนานาชาตินาริตะ กรุงโตเกียว ญี่ปุ่น เพื่อเข้าร่วมการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น (10th Mekong – Japan Summit) ครั้งที่ 10 ระหว่างวันที่ 8 – 10 ตุลาคม 2561
นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นในช่วงเวลาที่สำคัญ เนื่องจากในปีนี้ จะครบรอบ 10 ปี ของการจัดตั้งกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น โดยผู้นำจะให้การรับรองยุทธศาสตร์กรุงโตเกียว ค.ศ. 2018 เพื่อความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น (Tokyo Strategy 2018 for Mekong - Japan Cooperation) ซึ่งจะถูกนำมาใช้แทนยุทธศาสตร์กรุงโตเกียว ค.ศ. 2018 ที่จะหมดวาระลงในปีนี้ ซึ่งได้กำหนดทิศทางของกรอบความร่วมมือในอนาคตให้สอดคล้องกับ 3 แนวทางหลัก ได้แก่ 1.ยุทธศาสตร์อินโด - แปซิฟิกที่เสรีและเปิดกว้าง (Free and Open Indo - Pacific Strategy) 2.เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals) และ 3.แผนแม่บท ACMECS ระยะ 5 ปี (ค.ศ. 2019-2023) ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกที่แผนแม่บท ACMECS ได้ปรากฏอยู่ในเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมระหว่างประเทศ
นายดอน กล่าวอีกว่า ยุทธศาสตร์กรุงโตเกียว ค.ศ. 2018 ได้กำหนดเสาความร่วมมือ 3เสา ได้แก่ การพัฒนาความเชื่อมโยงที่ดีและมีประสิทธิภาพ การสร้างสังคมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง และการสร้างความตระหนักรู้ต่ออนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงสีเขียว พร้อมทั้งกับการให้ความสำคัญกับประเด็นภูมิภาคและโลกที่ส่งผลต่อเสถียรภาพ ความมั่นคงและผลประโยชน์ของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น อาทิ สถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลี พัฒนาการในทะเลจีนใต้ และให้ความสำคัญต่อการเพิกถอนการใช้อาวุธนิวเคลียร์อย่างสมบูรณ์ การดำเนินการตามพันธกิจแห่งสหประชาชาติ เพื่อก่อให้เกิดสันติภาพและเสถียรภาพที่ยั่งยืนในภูมิภาคและในโลก
ในระหว่างการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่นครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการเข้าร่วมกิจกรรมสำคัญอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ การเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น การหารือทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตรีกับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น การพบหารือกับสมาชิกสมาคมมิตรภาพรัฐสภาญี่ปุ่น – แม่โขง และผู้แทนสมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่นรวมทั้ง เข้าร่วมงานสัมมนา Mekong – Japan Investment Forum โดย JETRO และการพบหารือกับองค์กรและภาคเอกชนญี่ปุ่น ซึ่งจะเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างความเชื่อมั่นแก่ภาคเอกชนญี่ปุ่นเพื่อเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้น รวมทั้งแสดงความมุ่งมั่นของไทยที่จะร่วมมือกับญี่ปุ่นในฐานะประเทศหุ้นส่วนในการพัฒนาเพื่อส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น (Mekong - Japan Cooperation) ริเริ่มขึ้นโดยญี่ปุ่นเมื่อปี พ.ศ. 2551 ประกอบด้วยสมาชิก 6 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา สปป. ลาว เมียนมา เวียดนาม ไทย และญี่ปุ่น เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและสังคม เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของประเทศลุ่มน้ำโขง ลดช่องว่างในการพัฒนาในอาเซียนและสนับสนุนการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอย่างราบรื่น ไทยมีบทบาทในฐานะประเทศหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาและประเทศผู้ให้ร่วมกับญี่ปุ่นเพื่อให้ความช่วยเหลือประเทศลุ่มน้ำโขงทั้งในระดับทวิภาคีและไตรภาคี และในโอกาสครบรอบ 10 ปีของกรอบความร่วมมือในปีนี้ จะกำหนดให้ปี ค.ศ. 2019 เป็น “ปีแห่งการแลกเปลี่ยนระหว่างญี่ปุ่นกับลุ่มน้ำโขง 2019” (Mekong – Japan Exchange Year 2019) โดยสมาชิกจะจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมความเข้าใจและการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนของลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น และในส่วนของไทยจะใช้โอกาสในการจัดการประชุม Green Mekong Forum ครั้งที่ 6 ที่ประทศไทยในการร่วมฉลองวาระดังกล่าวด้วย
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นในช่วงเวลาที่สำคัญ เนื่องจากในปีนี้ จะครบรอบ 10 ปี ของการจัดตั้งกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น โดยผู้นำจะให้การรับรองยุทธศาสตร์กรุงโตเกียว ค.ศ. 2018 เพื่อความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น (Tokyo Strategy 2018 for Mekong - Japan Cooperation) ซึ่งจะถูกนำมาใช้แทนยุทธศาสตร์กรุงโตเกียว ค.ศ. 2018 ที่จะหมดวาระลงในปีนี้ ซึ่งได้กำหนดทิศทางของกรอบความร่วมมือในอนาคตให้สอดคล้องกับ 3 แนวทางหลัก ได้แก่ 1.ยุทธศาสตร์อินโด - แปซิฟิกที่เสรีและเปิดกว้าง (Free and Open Indo - Pacific Strategy) 2.เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals) และ 3.แผนแม่บท ACMECS ระยะ 5 ปี (ค.ศ. 2019-2023) ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกที่แผนแม่บท ACMECS ได้ปรากฏอยู่ในเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมระหว่างประเทศ
นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
นายดอน กล่าวอีกว่า ยุทธศาสตร์กรุงโตเกียว ค.ศ. 2018 ได้กำหนดเสาความร่วมมือ 3เสา ได้แก่ การพัฒนาความเชื่อมโยงที่ดีและมีประสิทธิภาพ การสร้างสังคมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง และการสร้างความตระหนักรู้ต่ออนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงสีเขียว พร้อมทั้งกับการให้ความสำคัญกับประเด็นภูมิภาคและโลกที่ส่งผลต่อเสถียรภาพ ความมั่นคงและผลประโยชน์ของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น อาทิ สถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลี พัฒนาการในทะเลจีนใต้ และให้ความสำคัญต่อการเพิกถอนการใช้อาวุธนิวเคลียร์อย่างสมบูรณ์ การดำเนินการตามพันธกิจแห่งสหประชาชาติ เพื่อก่อให้เกิดสันติภาพและเสถียรภาพที่ยั่งยืนในภูมิภาคและในโลก
ในระหว่างการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่นครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการเข้าร่วมกิจกรรมสำคัญอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ การเข้าเฝ้าฯ สมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น การหารือทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตรีกับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น การพบหารือกับสมาชิกสมาคมมิตรภาพรัฐสภาญี่ปุ่น – แม่โขง และผู้แทนสมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่นรวมทั้ง เข้าร่วมงานสัมมนา Mekong – Japan Investment Forum โดย JETRO และการพบหารือกับองค์กรและภาคเอกชนญี่ปุ่น ซึ่งจะเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างความเชื่อมั่นแก่ภาคเอกชนญี่ปุ่นเพื่อเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้น รวมทั้งแสดงความมุ่งมั่นของไทยที่จะร่วมมือกับญี่ปุ่นในฐานะประเทศหุ้นส่วนในการพัฒนาเพื่อส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น (Mekong - Japan Cooperation) ริเริ่มขึ้นโดยญี่ปุ่นเมื่อปี พ.ศ. 2551 ประกอบด้วยสมาชิก 6 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา สปป. ลาว เมียนมา เวียดนาม ไทย และญี่ปุ่น เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและสังคม เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของประเทศลุ่มน้ำโขง ลดช่องว่างในการพัฒนาในอาเซียนและสนับสนุนการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอย่างราบรื่น ไทยมีบทบาทในฐานะประเทศหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาและประเทศผู้ให้ร่วมกับญี่ปุ่นเพื่อให้ความช่วยเหลือประเทศลุ่มน้ำโขงทั้งในระดับทวิภาคีและไตรภาคี และในโอกาสครบรอบ 10 ปีของกรอบความร่วมมือในปีนี้ จะกำหนดให้ปี ค.ศ. 2019 เป็น “ปีแห่งการแลกเปลี่ยนระหว่างญี่ปุ่นกับลุ่มน้ำโขง 2019” (Mekong – Japan Exchange Year 2019) โดยสมาชิกจะจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมความเข้าใจและการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนของลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น และในส่วนของไทยจะใช้โอกาสในการจัดการประชุม Green Mekong Forum ครั้งที่ 6 ที่ประทศไทยในการร่วมฉลองวาระดังกล่าวด้วย
