ประเมินเศรษฐกิจการเมืองไทย "12 ปี รัฐประหาร 19 กันยายน 2549"

23 ก.ย. 2561 | 09:02 น.
ความเสียหายทางเศรษฐกิจ โอกาสทางเศรษฐกิจ การลงทุน การค้า และโอกาสในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน จะอยู่ที่ประมาณ 10.970 ล้านล้านบาท เทียบเท่ากับ 3.65 เท่าของเม็ดเงินงบประมาณปี 2562 เม็ดเงินดังกล่าวหากไม่เสียหายไปจากผลกระทบของการรัฐประหารและวิกฤตการณ์ทางการเมือง ย่อมสามารถนำมาใช้พัฒนาประเทศได้โดยไม่ต้องเก็บภาษี ไม่ต้องก่อหนี้สาธารณะ เป็นเวลา 3.65 ปี ก่อนการรัฐประหารปี 2549 อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยอยู่ในระดับสูง ในปี 2545 อยู่ที่ 6.1% ในปี 2546 อยู่ที่ 7.2% ในปี 2547 อยู่ที่ 6.3% หลังจากเริ่มเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมือง อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจโดยเฉลี่ยในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา หลังจากการรัฐประหาร "19 กันยายน 2549" ลดต่ำลง และต่ำกว่า 4% โดยส่วนใหญ่

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการและผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนานโยบายสาธารณะ สำนักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงผลกระทบจากรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ในโอกาสครบรอบ 12 ปี และประเมินอนาคตเศรษฐกิจการเมืองไทย ว่า 12 ปี หลังการรัฐประหาร 2549 ประเทศไทยได้สูญเสียโอกาสในการก้าวข้ามพ้นประเทศรายได้ระดับปานกลางสู่ประเทศพัฒนาแล้ว เนื่องจากเราติดกับดักในวิกฤตการณ์ทางการเมืองและการรัฐประหาร 2 ครั้ง ในทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งอาจจะเรียกว่าเป็น "ทศวรรษแห่งความถดถอยและสูญเสียโอกาส" รัฐประหารปี 2549 ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า นอกจากไม่สามารถแก้ไขปัญหาวิกฤตการณ์ทางการเมืองแล้ว ยังทำให้ปัญหาความขัดแย้งทรุดหนักมากกว่าเดิม

ในระยะต่อมา หลังจากรัฐประหารปี 2549 เพียง 8 ปี ก็เกิดรัฐประหารอีกครั้งหนึ่งในปี 2557 รัฐประหารปี 2549 เมื่อ 12 ปีที่แล้ว ได้ทำลายภาพพจน์ของประเทศในฐานะประเทศที่มีประชาธิปไตยก้าวหน้าที่สุดในอาเซียน เป็นการเปิดประตูให้กับการใช้กำลังในการทำลายระบบนิติรัฐและกติกาสูงสุดอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ประเทศได้สถาปนาระบอบประชาธิปไตย พร้อมทั้งหลักการนายกรัฐมนตรีต้องมาจากประชาชนหลังเหตุการณ์ "พฤษภา 2535" และการได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนปี 2540 12 ปี หลังการรัฐประหาร ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรี 6 คน มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลบ่อยครั้ง ทำให้ไม่สามารถปฏิรูปเศรษฐกิจและแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจได้มากนัก การมีรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ที่ควบคุมอำนาจของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ต่างจากรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ที่มุ่งปฏิรูปการเมืองให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนมีความเข้มแข็งและมีเสถียรภาพ ความขัดแย้งทางการเมืองรุนแรงต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2551 ในยุค "รัฐบาลสมัคร" ต่อมาจนถึง "รัฐบาลสมชาย-รัฐบาลอภิสิทธิ์" จนกระทั่ง "รัฐบาลยิ่งลักษณ์" ทำให้รัฐบาลไม่สามารถทำงานด้านนโยบายระยะยาวให้กับประเทศได้

ขณะที่ รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มีความล้าหลังและมีเนื้อหาที่ไม่เป็นประชาธิปไตยมากยิ่งกว่ารัฐธรรมนูญปี 2550 เสียอีก จึงไม่อาจคาดหวังได้ว่า หลังการเลือกตั้งต้นปี 2562 แล้ว ประเทศไทยจะได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่มีความเข้มแข็งมั่นคง อย่างไรก็ตาม หากประชาชนช่วยกันแสดงเจตนารมณ์ผ่านการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างเป็นเอกภาพและสามารถจัดตั้งรัฐบาลจากการเลือกตั้งที่มีเสถียรภาพ โอกาสในการผลักดันให้ประเทศก้าวสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้วในทศวรรษหน้าย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปได้

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ กล่าวอีกว่า รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร 2 รัฐบาล ในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา จะสนองตอบกลุ่มที่สนับสนุนการรัฐประหารมากกว่าประชาชนโดยรวม จึงพบว่า งบประมาณทหารจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากในยุครัฐบาลรัฐประหาร โดย "รัฐบาลประยุทธ์" มีการจัดสรรงบประมาณให้กระทรวงกลาโหมสูงกว่า "รัฐบาลสุรยุทธ์" อย่างมาก แม้นจะเป็นรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารเหมือนกัน นอกจากนี้ รัฐบาล คสช. ยังก่อหนี้ผูกพันในงบประมาณแผ่นดินไปจนถึงปี 2565 นอกจากนี้ งานวิจัยจำนวนมากยังบ่งชี้ว่า ระบอบประชาธิปไตยจะมีการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ การศึกษา สาธารณสุข สูงกว่าระบอบเผด็จการ และสามารถรับมือวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจได้ดีกว่าด้วย

แม้นการรัฐประหารหลายครั้งในประเทศไทยจะไม่มีการสูญเสียชีวิตและเลือดเนื้อในช่วงการก่อรัฐประหาร แต่มักจะนำมาสู่ความรุนแรงนองเลือดในภายหลัง เช่น การรัฐประหารปี 2549 เป็นผลต่อเนื่องทำให้เกิดการชุมนุมทางการเมืองและนำมาสู่การปรามปรามผู้ชุมนุมในปี 2552 และ 2553 การรัฐประหารปี 2534 ทำให้ต่อมาเกิดเหตุการณ์เดือนพฤษภา ปี 2535 ต่อต้านนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นแกนนำของคณะรัฐประหาร รสช. เป็นต้น แม้นการรัฐประหารปี 2557 จะไม่มีความรุนแรงนองเลือด แต่หลังการรัฐประหารได้มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางและมีประชาชนถูกดำเนินคดีและคุมขังจำนวนมากอย่างไม่เป็นธรรม หากมีการสืบทอดอำนาจโดยไม่เป็นไปตามหลักการประชาธิปไตย หลังการเลือกตั้งในปี 2562 จะเกิดความเสี่ยงในการเกิดการเผชิญหน้าและความขัดแย้งทางการเมืองรอบใหม่ได้ และเราจะอยู่ในระบอบกึ่งประชาธิปไตยภายใต้การสืบทอดอำนาจของ คสช. หากกองทัพถอยออกจากการเมืองและมีความเป็นทหารอาชีพ ไม่เข้าแทรกแซงด้วยการก่อรัฐประหารอีก ปล่อยให้ปัญหาวิกฤตการณ์ทางการเมืองในอนาคตถูกแก้ไขโดยกลไกรัฐสภาและกระบวนการทางกฎหมาย ระบอบประชาธิปไตยย่อมมีความมั่นคงและเป็นรากฐานสำคัญต่อความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน

ความเสียหายทางเศรษฐกิจ โอกาสทางการลงทุน การชะงักงันของกิจกรรมและธุรกรรมทางเศรษฐกิจการค้า ย้อนกลับไปที่ข้อมูลในอดีต ตอนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ตลาดหุ้นเปิดทำการซื้อขายวันแรกหลังรัฐประหาร (21 ก.ย.) ปรับตัวลงไปแรงที่สุด 29.56 คิดเป็น 4.2% ช่วงเปิดตลาด แต่ช่วงใกล้ปิดตลาดดัชนีกระเตื้องขึ้นจึงปรับตัวลงไปเพียง 1.42% เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจขณะนั้นยังแข็งแรงอยู่ ตอนรัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ 2534 ในวันถัดมาหลังรัฐประหารดัชนีปรับลงแรง 57.4 จุด หรือ 7.25% หากตั้งสมมุติฐานว่า ไม่มีการรัฐประหาร 2 ครั้ง และไม่มีวิกฤตการณ์ทางการเมืองรุนแรงในรอบ 12 ปีที่ผ่านมา และอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยโดยเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 5% ในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา รวมทั้งสมมติให้ปัจจัยอื่น ๆ คงที่ เมื่อเทียบกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น เราจะสามารถประมาณการเบื้องต้นความเสียหายทางเศรษฐกิจจากการรัฐประหารได้ แม้นรัฐประหารจะไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้นก็ตาม การรัฐประหารและการฉีกรัฐธรรมนูญก่อให้เกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองอันส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นต่อการลงทุนและการบริโภค ความเสียหายทางเศรษฐกิจ โอกาสทางเศรษฐกิจ การลงทุน การค้า และโอกาสในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนจะอยู่ที่ประมาณ 10.970 ล้านบาท เทียบเท่ากับ 3.65 เท่าของเม็ดเงินงบประมาณปี 2562 และเม็ดเงินดังกล่าวหากไม่เสียหายไปจากผลกระทบของการรัฐประหารประเทศและวิกฤตการณ์ทางการเมือง ย่อมสามารถนำมาใช้พัฒนาประเทศได้โดยไม่ต้องเก็บภาษีไม่ต้องก่อหนี้สาธารณะเป็นเวลา 3.65 ปี


090861-1927-9-335x503-8-335x503

ก่อนการรัฐประหารปี 2549 อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยอยู่ในระดับสูง ในปี 2545 อยู่ที่ 6.1% ในปี 2546 อยู่ที่ 7.2% ในปี 2547 อยู่ที่ 6.3% โดยเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวลงเล็กน้อยในปี 2548 มาอยู่ที่ 4.2% หลังจากเริ่มเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมือง อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจโดยเฉลี่ยในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา หลังจากการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ลดต่ำลงและต่ำกว่า 4% โดยส่วนใหญ่ ยกเว้น ในปี 2550, 2553 และ 2556 นอกจากนี้ การลงทุนจากต่างประเทศ การช่วยเหลือจากต่างประเทศ และการเจรจาเพื่อทำข้อตกลงทางการค้า เกิดสภาวะชะงักงันหลังการรัฐประหารทั้ง 2 ครั้ง (ปี 2549 และปี 2557) และปรับดีขึ้นหลังประเทศกลับคืนสู่รัฐบาลเลือกตั้ง

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ กล่าวอีกว่า หากเปรียบเทียบผลกระทบทางเศรษฐกิจของรัฐประหารปี 2549 กับรัฐประหารปี 2557 จะมีความแตกต่างกัน เนื่องจากรัฐประหารปี 2549 เกิดขึ้นในภาวะที่เศรษฐกิจดีกว่า

ขณะที่ ความขัดแย้งและวิกฤตการณ์ทางการเมืองปี 2557 ก็มีความซับซ้อนมากกว่า ในอนาคตขอให้ติดตามพลวัตของผลพวงของรัฐประหารปี 2557 พลวัตของการสืบทอดอำนาจของ คสช. หลังการเลือกตั้งและการต่อต้านการสืบทอดอำนาจ ว่า จะมีพัฒนาการอย่างไรต่อไปหลังการเลือกตั้ง หากการจัดการเลือกตั้งมีความเสรีและเป็นธรรมเป็นไปตามมาตรฐานสากล กระบวนการเปลี่ยนผ่านอำนาจจะเป็นไปอย่างสันติและเป็นไปตามความต้องการของประชาชนจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศในอนาคต

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ เสริมอีกว่า ระบอบประชาธิปไตยทำให้ระบบตลาดทำงานได้ดีและสร้างธรรมาภิบาลได้ดีกว่าระบอบเผด็จการ งานวิจัยของ Barro (1996) ใช้แบบจำลองการขยายตัวทางเศรษฐกิจ วิเคราะห์ผลกระทบของระบอบประชาธิปไตยโดยใช้ตัวแปรเสรีภาพทางการเมืองต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจระหว่างปี ค.ศ. 1960-1990 ของ 100 กว่าประเทศ ได้ข้อสรุปว่า


090861-1927-9-335x503-8-335x503-5-335x503

ตัวแปรประชาธิปไตยมีความสัมพันธ์เป็นบวกต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เมื่อควบคุมผลของตัวแปรกับตัวแปรอื่น แต่ความสัมพันธ์ไม่เป็นเส้นตรง นอกจากนี้ งานวิจัยของ Plumper and Martin (2003) ระดับความเป็นประชาธิปไตยมีความสัมพันธ์ในทางบวกต่อการขยายตัวของรายได้ต่อหัว และการใช้จ่ายรัฐบาลจะมีผลต่อการขยายตัวสูงกว่าประเทศที่มีการพัฒนาประชาธิปไตยต่ำ งานวิจัยช่วยอธิบายว่า ทำไมรัฐบาล คสช. อัดฉีดงบประมาณการใช้จ่ายจำนวนมากเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ แต่มีผลกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจน้อยกว่าที่ควรจะเป็น งานวิจัยของ Lee (2005) ทดสอบความสัมพันธ์ของการใช้จ่ายของรัฐ ความเป็นประชาธิปไตย กับการกระจายรายได้โดยประมาณการสมการเศรษฐมิติจากข้อมูลจาก 64 ประเทศ พบว่า ความเป็นประชาธิปไตยและการใช้จ่ายของรัฐมีปฏิสัมพันธ์กันในการส่งผลต่อความเท่าเทียมกันของรายได้ภายในประเทศ ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยทำให้การกระจายรายได้ดีขึ้น ส่วนประเทศที่ไม่เป็นประชาธิปไตย การเพิ่มขนาดของรัฐนำไปสู่การกระจายได้ที่แย่ลง

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการและผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนานโยบายสาธารณะ สำนักนายกรัฐมนตรี ได้อ้างถึงงานวิจัยของ พงศ์ศักดิ์ เหลืองอร่าม อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และยุทธนา เศรษฐปราโมทย์ อาจารย์ประจำคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เรื่อง "ผลกระทบทางเศรษฐกิจของความไม่แน่นอนทางการเมืองไทย" ว่า ตัวแปรทางเศรษฐกิจมหภาคนอกเหนือไปจากการเติบโตทางเศรษฐกิจในภาพรวม ได้แก่ การลงทุนและการบริโภค พบข้อมูลดังนี้ ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่มาจากการชุมนุมขัดแย้งที่เพิ่มขึ้น ทำให้การลงทุนปรับตัวหดลง -1.8% อย่างไรก็ตาม ผลจากความไม่แน่นอนทางการเมืองในด้านอื่น ๆ (กฎอัยการศึก, การรัฐประหาร และเลือกตั้ง) มีผลในขนาดที่น้อยกว่า ขณะที่ "ความผันผวนของการลงทุน" จะขึ้นอยู่กับความไม่แน่นอนทางการเมือง ด้านการชุมนุมขัดแย้ง การตอบสนองของการบริโภคต่อความไม่แน่นอนทางการเมือง พบว่า รุนแรงน้อยกว่าผลต่อการลงทุนภาคเอกชน โดยผลกระทบที่เห็นชัดเจนที่สุด คือ การเพิ่มขึ้นของระดับความขัดแย้งจากการชุมนุม และด้านการเลือกตั้งที่จะส่งผลต่อการบริโภคภาคเอกชนลดลง -0.3%

โดยผลกระทบจะมีผลต่อเนื่องประมาณ 2-4 ไตรมาส ก่อนที่ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะค่อย ๆ ลดลงหลัง 1 ปี ความไม่แน่นอนทางการเมืองในภาพรวมและในดัชนีย่อย มีผลเชิงลบต่ออัตราการเติบโตของระดับผลผลิตตามศักยภาพของไทยในเกือบทุกกรณี ยกเว้นเพียงผลของความไม่แน่นอนด้านการชุมนุมขัดแย้ง ที่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ และเมื่อพิจารณาผลิตภัณฑ์มวลรวมแยกตามรายสาขาการผลิต พบว่า การโรงแรม อสังหาริมทรัพย์ และการบริการขนส่ง เป็น 3 สาขา ที่มีการตอบสนองต่อการเพิ่มขึ้นของความไม่แน่นอนทางการเมืองโดยรวมที่ชัดเจน

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ ยังได้กล่าวอ้างงานวิจัยสำคัญต่าง ๆ เพิ่มเติม เพื่อชี้ให้เห็นว่า ระบอบประชาธิปไตยจะส่งผลดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในระยะยาวมากกว่า โดยเฉพาะมิติทางด้านความเป็นธรรมและการกระจายรายได้ เช่น Barro (1996), Glasure, Lee and Norris (1999), Plumper and Martin (2003), Doucouliagos and Ulubasoglu (2008), Rodrik and Wacziarg (2005) เป็นต้น

ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว