วิกฤติสายการบินนกแอร์ ยังมีอยู่ต่อเนื่อง แม้กลุ่มนักธุรกิจใหญ่ตระกูล “จุฬางกูร” จะเข้ามากุมบังเหียนถือหุ้นใหญ่ ตั้งแต่ปีที่แล้ว และระดมใช้สรรพกำลังที่มีอยู่ ในการพยายามพลิกฟื้นธุรกิจให้นกแอร์ กลับมาผงาดเหนือน่านฟ้าไทยอีกครั้ง โดยมีการบินไทยผู้ถือหุ้นอันดับ 2 ช่วยสนับสนุนอีกแรง แต่ก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อผลการดำเนินการไตรมาส 2 ของปี 2561 ตัวเลขขาดทุนสะสมบานทะโล่ถึง 6.19 พันล้านบาท
กระทั่งตลาดหลักทรัพย์ประเทศไทย (กตท.) ขึ้นเครื่องหมาย C บมจ. NOK หลังพบว่าบริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้นต่ำกว่า 50 % ของทุนที่ชำระแล้ว โดยมีส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ 406 .10 ล้านบาท จากหนี้สินทั้งหมด 6.62 พันล้านบาท สูงกว่าสินทรัพย์ที่มีอยู่ 6.21 พันล้านบาท ส่วนของทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 2.27 พันล้านบาท จนเป็นเหตุให้บอร์ดนกแอร์ต้องหาทางออกเร่งด่วนและอนุมัติการกู้เงินจาก
“หทัยรัตน์ จุฬางกูร” ภายใต้กรอบวงเงิน 1 พันล้านบาท เป็นทุนหมุนเวียน เสริมสภาพคล่อง ในอัตราดอกเบี้ย 6 % ระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี
นับว่าเป็นอัตราการดอกเบี้ยที่สูง แต่บอร์ดนกแอร์ มองว่า
“สมเหตุสมผล” ทั้งยังเชื่อมั่นว่า จะเป็นปัญหาเพียงระยะสั้น 3-4 เดือนเท่านั้น โดยหวังว่าเมื่อเข้าช่วงไฮต์ซีซัน ปัญหาจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น ส่วนเงินกู้ดังกล่าวงวดแรกจะกู้มาเพียง 500 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งจะนำไปใช้เป็นทุนหมุนเวียนนกแอร์ 245 ล้านบาท ส่วนอีกจำนวน 245 ล้านบาท จะนำไปลงทุนในสายการบินนกสกู๊ต เพื่อขยายจุดบินใหม่ในญี่ปุ่นและเปิดเส้นทางบินไปอินเดีย ที่เหลือจึงเป็นกรอบวงเงินที่กันสำรองไว้เผื่อขาดเหลือ
เบื้องหลัง นกแอร์ ขาดทุน
จากปัญหาที่เกิดขึ้น “ปิยะ ยอดมณี” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบิน นกแอร์ ออกมาระบุถึงสาเหตุว่าเกิดจาก 3 เรื่องหลักคือ ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ปัญหาเรือล่มภูเก็ตทำตลาดทัวร์จีนชลอตัว และแผนการ เปิดบินเส้นทางใหม่ ๆ เข้าอินเดีย และจีน ล่าช้ากว่าแผนที่วางไว้ จึงเป็นเหตุทำให้นกแอร์ช็อตเงินระยะสั้น ถึงกับต้องกู้เงินผู้ถือหุ้นใหญ่
แต่เมื่อตรวจสอบไส้ในผลการดำเนินการไตรมาสที่ 2 ปี 2561 พบว่าปัญหานกแอร์ ยังมาจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ที่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนค่าใช้จ่ายโดยตรง ไม่ว่าค่าน้ำมัน ค่าซ่อมบำรุง ประกันภัยเครื่องบินที่ไปอิงกับเงินสกุลดอลล่าร์สหรัฐฯ ซึ่งคิดเป็น 65 % ของต้นทุนรวม โดยราคาน้ำมันฉลี่ยอยู่ที่ 86.77 ดอลล่าร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นจาก 60.47 ดอลล่าร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในช่วงเวลาเดียวกัน การเริ่มเก็บภาษีสรรพสามิต น้ำมันเส้นทางบินในประเทศส่งผลให้บริษัทมีต้นทุนเชื้อเพลิงอยู่ที่ 1,228.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 34.01 % เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวปีก่อนหน้า
[caption id="attachment_308266" align="aligncenter" width="503"]
ปิยะ ยอดมณี[/caption]
อีกทั้งถ้าย้อนไปปี 2559 นกแอร์ได้เริ่มมีปัญหาหนัก ตั้งแต่ “พาที สารสิน” ซีอีโอคนดัง เปิดศึกทะเลาะกับนักบิน เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2559 บานปลายไปถึงขั้นนักบินประท้วงหยุดบินแห่ลาออก ยิ่งตอกย้ำปัญหานักบินขาดแคลนหนัก ส่งผลให้เที่ยวบินล่าช้า และยกเลิกเที่ยวบินเป็นไปจำนวนมาก จากที่มีปัญหาดีเลย์เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้ ต้องยืมตัวนักบินต่างชาติจากโบอิ้ง และการบินไทยเข้ามาเสริมทัพ แลกกับค่าจ้างที่แพงขึ้น ส่วนทางกับรายได้ที่ลดลง
ทั้งยังซ้ำเติมจากต้นทุนในการบริหารที่สูงกว่า สายการบินโลว์คอร์ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการซ่อมบำรุง ที่มีการเซ็นสัญญาระยะยาวไว้กับศูนย์ซ่อม Lufthansa Technik สิงคโปร์ ปัญหาสงครามราคาที่แข่งขันกันดุเดือด การเปิดตัวของสายการบินโลว์คอร์สใหม่ ๆ ทั่วน่านฟ้า และการที่ประเทศไทยถูกปักธงแดง จากองค์การการบินระหว่างประเทศ ICAO รวมถึงการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญตลาดจีน ล้วนส่งผลกระทบต่อรายได้ของนกแอร์โดยตรงทั้งสิ้น
[caption id="attachment_308267" align="aligncenter" width="503"]
พาที สารสิน[/caption]
บินไทยไม่เพิ่มทุนรอบแรก
แต่ที่ซ้ำเติมหนักก็คือ แผนการเพิ่มทุนของนกแอร์เมื่อเดือนพฤษภาคม 2560 การบินไทยปฏิเสธการเพิ่มทุน โดยให้เหตุผลในขณะนั้นว่า แผนการพลิกฟื้นธุรกิจหรือ เทอร์นอะราวแพลน ของนกแอร์ยังไม่มีความชัดเจน และการบินไทยขณะนี้ก็มีปัญหาขาดทุนด้วยเช่นกัน การใส่เงินเข้าไปในนกแอร์โดยไม่รู้ว่าจะมีโอกาสกลับทำกำไรหรือไม่ และเมื่อไร ก็คงไม่ต่างจาก
“เตี้ยอุ้มค่อม”
หลังจากถูกกดดันในที่สุดในการเพิ่มทุนรอบ 2 การบินไทยต้องกล่ำกลืนใส่เงินลงไปอีก เพื่อรักษาสัดส่วนการถือหุ้นในนกแอร์ ให้เหลืออยู่ 21.80 % หลังคิดรอบด้านแล้วว่า “เสียมากกว่าได้” หากขายหุ้นนกแอร์ทิ้ง การบินไทยก็จะไม่มีเครือข่ายจุดเชื่อมโยงเส้นทางที่สนามบินดอนเมือง ซึ่งจะเป็นจุดอ่อนของสายการบินแห่งชาติ ท่ามกลางกระแสข่าวที่ว่าแลกกับการเปลี่ยนตัวซีอีโอ พาที สารสิน
ขณะที่แผน
“เทอร์นอะราว” นำเงิน 1.7พันล้านบาท ที่ได้จากการระดมทุน นำไปใช้ในการขยายฝูงบินเพื่อหารายได้เพิ่ม แผนการลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ หารายได้เพิ่มจากธุรกิจเสริมนอกเหนือจากการขายตั๋ว การเปิดเส้นทางบินใหม่ ๆ การปรับค่าเฉลี่ยนการใช้เครื่องบินต่อลำ Aircraft Utilization Hours ให้สูงขึ้นเป็น 11 ชั่วโมงต่อวัน เพิ่มเส้นทางบินเข้าจีน แบบเช่าเหมาลำเข้าจีนอีก23จุดบิน ทั้งยังมีความร่วมมือกับการบินไทยอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น ทั้งการเฮดจิ้งน้ำมัน ลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในนาม
“ไทยกรุ๊ป” ซึ่งประกอบด้วย การบินไทย นกแอร์ และไทยสมายล์ นอกเหนือจากที่การบินไทยส่งฝ่ายบริหารมาร่วมเป็นบอร์ดบริหาร
ร่วม 10 เดือน นกแอร์ภายใต้การนำของ
“ปิยะ ยอดมณี” ที่เข้ามารับไม้ต่อจาก
“พาที สารสิน” เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2560 รวมถึงการปรับเปลี่ยนประธานบอร์ด มาเป็น
“ประเสริฐ บุญสัมพันธ์” แต่ผลการดำเนินงาน ยังติดลบมโหฬาร แม้ช่วง ธันวาคมถึงกุมภาพันธ์ปี 2561 ฝ่ายบริหารจะปราบปลื้มตัวเลข ผลประกอบการออกมาเริ่มเห็นสัณญานที่ดี มีรายได้เพิ่มขึ้น 12.3 % แต่เมื่อต้องมาเจอปัญหาหนักช่วงไตรมาส 2 จากต้นทุนหลักที่เพิ่มขึ้นรอบด้านอย่างมีนัยสำคัญ
จับตาเดิมพันเงินกู้ 1 พันล้านบาท ครั้งนี้นกแอร์จะฝ่ามรสุมสำเร็จหรือไม่ !
| รายงานพิเศษ : เปิดแผลลึก นกแอร์ ปีกหัก ซ้ำซาก
| โดย : พริกกะเหรี่ยง
| ฐานเศรษฐกิจออนไลน์