‘ไมเนอร์’กางแผน 5 ปี ทุ่ม 4.2 หมื่นล้านต่อยอดธุรกิจทั่วโลก

10 ก.พ. 2559 | 04:00 น.
หากกล่าวถึงกลุ่มธุรกิจโรงแรมไทย ต้องยอมรับว่ากลุ่มไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล เป็นบริษัทที่ไม่ใช่แค่เพียงขยายแบรนด์การรับบริหารโรงแรมออกสู่ต่างประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้เล่นหลัก ที่มองโอกาสและเดินหน้าลงทุนธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศ อย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันกลายเป็นบริษัทระดับโกลบัลไปแล้ว และยังคงเดินแผนการขยายธุรกิจต่อเนื่องในอีก 5 ปีนี้ ที่ประเดิมต้นปีด้วยการปิดดีลซื้อกิจการทิโวลี ซึ่งเป็นขนาดการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมโรงแรมในประเทศโปรตุเกสและยังมีอีกหลายโอกาสที่จะเกิดขึ้นจากการลงทุนเชิงกลยุทธ์ อ่านได้จากสัมภาษณ์นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ รองประธานฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ บริษัทไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)หรือ MINT

[caption id="attachment_30659" align="aligncenter" width="428"] การขยายธุรกิจด้านโรงแรมของไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล การขยายธุรกิจด้านโรงแรมของไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล[/caption]

 ตั้งเป้ากำไรเฉลี่ย 15-20% ต่อปี

คุณชัยพัฒน์ ฉายภาพถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจของไมเนอร์ฯในขณะนี้ว่า กำลังเดินตามแผนกลยุทธ ที่วางไว้ 5 ปี ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี 2559-2563 ภายใต้เป้าหมายการสร้างผลกำไรโดยเฉลี่ยให้เติบโตอยู่ที่อย่างน้อย 15-20% ต่อปี มีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนไม่น้อยกว่า15%ใน 5 ปีข้างหน้า ผ่าน 3 กลยุทธ ได้แก่ 1. ต้องการขับเคลื่อนPortfolio ของแบรนด์ต่างของเรา ให้มีผลกำไรมากที่สุด มีการนำอินเตอร์เนชั่นแนลแบรนด์ มาเสริมทัพด้วย 2. เน้นการสร้างผลตอบแทนและผลกำไรสูงสุดจากสินทรัพย์ที่มีอยู่ และ3.มองหาโอกาสที่จะไปซื้อกิจการหรือสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนในการลงทุนที่ดี ซึ่งเป็นการลงทุนเชิงกลยุทธที่สำคัญ

การไปซื้อกิจการ จะดูใน 3 ประเด็น ได้แก่ 1.มองการลงทุนเชิงกลยุทธในแง่ของคลัสเตอร์ เพราะการลงทุนที่เป็นกลุ่มเป็นก้อน จะเกิดสเกลที่ทำให้ประหยัดต้นทุน และสร้างฐานธุรกิจใหม่ได้ 2.จะพยายามหากิจการ โดยพิจารณาราคาสมเหตุสมผล เหมาะสม หรือราคาไม่สูงถ้าเทียบกับตลาดและสามารถสร้างประโยชน์ในการต่อยอดธุรกิจต่อได้ ซึ่งในกรณี การเข้าซื้อกิจการโรงแรม 14 แห่งของทิโวลี โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ในโปรตุเกสและบราซิล ที่เพิ่งประกาศออกไปไม่นาน ก็เกิดจากเหตุผลนี้ และ3.จะไม่ตามเทรนด์ตลาด แต่เราจะคาดการณ์เทรนด์ของเราเอง อาทิ บางคนอาจมองว่าตลาดนี้อาจไม่ดี แต่เรามองการลงทุนระยะยาวเป็นหลัก ซึ่งก็เป็นการมองข้ามช็อต

 ตั้งงบลงทุนร่วม 4 หมื่นล.ใน5ปี

โดยในช่วง 5 ปีนี้ ไมเนอร์ฯวางงบลงทุนในธุรกิจด้านโรงแรมและธุรกิจอาหาร ไว้ที่ราว 4.2 หมื่นล้านบาท ทั้งในเรื่องของการต่อยอดธุรกิจเดิมที่มีอยู่ การซื้อกิจการ และการรีโนเวทซ่อมบำรุงสิ่งที่อยู่เดิม ซึ่งงบลงทุนทั้งหมดตลอด 5 ปีนี้ มากกว่า 50% เป็นการลงทุนในธุรกิจโรงแรม โดยปัจจุบันไมเนอร์ฯมีโรงแรมในเครือที่เป็นการลงทุนเอง และการรับบริหารรวมกว่า 145 แห่งใน 22 ประเทศ มีจำนวนห้องพักกว่า 1.8 หมื่นห้อง และหวังว่าในอีก 5 ปีนี้จะมีโรงแรมในเครือเพิ่มขึ้นมากกว่า 200 แห่ง

"ปัจจุบันไมเนอร์ฯมีรายได้จากธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี2558 ของอยู่ที่ 60% ใน 5 ปีนี้หวังว่าจะมีรายได้จากธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศเพิ่มเป็น 65-66% ภายใต้แบรนด์โรงแรม 6 แบรนด์ของไมเนอร์ คือ อนันตรา,อวานี,โอ๊คส์,ทิโวลี,เปอร์ อควัม และ เอเลวาน่า (Elewana) "

คุณชัยพัฒน์ ย้ำว่า แผนการเปิดโรงแรมใหม่ของไมเนอร์ ที่เห็นชัดเจนแล้วในช่วง 3 ปีนี้ (2559-2561) ก็ยังโฟกัสอยู่ที่โรงแรมระดับอัพสเกล โดยมีโรงแรมที่ไมเนอร์ฯเป็นผู้ลงทุน อยู่ 4 แห่ง คือ โรงแรมอนันตรา ที่ศรีลังกาและมาเลเซีย โรงแรมอวานี กรุงเทพ จำนวน 249 ห้องที่จะเปิดในเดือนเมษายนปีนี้ โครงการมาปูโต โมซัมบิก ซึ่งเป็นโครงการที่มีทั้งเรสซิเด้นท์ อาคารสำนักงาน โรงแรม ซึ่งในส่วนของโรงแรม ใช้แบรนด์เรดิสัน บลู ในการบริหารโรงแรม และยังมีอีกหลายโรงแรมที่รับบริหาร ทั้งในตะวันออกกลาง กลุ่มประเทศในมหาสมุทรอินเดีย จีน แอฟริกา ออสเตรเลีย (ตารางประกอบ)

ส่วนในแง่ของธุรกิจอาหาร ในอีก 5 ปีนี้ยังมุ่งขยายธุรกิจแบรนด์อาหารต่างๆ ซึ่งไมเนอร์ มีอยู่ 4 ฮับที่เกิดขึ้นจากการไปซื้อกิจการ อาทิ ร้านอาหารไทย เอ็กซ์เพรส ที่ประเทศสิงคโปร์ ที่ปัจจุบันมีอยู่ 85 เอ้าท์เลท กิจการเดอะคอฟฟี่ คลับ ที่ประเทศออสเตรเลีย ที่มีอยู่กว่า 300 เอ้าท์เล็ท ในเมืองจีน ก็เข้าไปซื้อกิจการร้านอาหารริเวอร์ไซต์ ที่มีกว่า 60 เอ้าท์เลทแล้ว และกิจการธุรกิจอาหารในเมืองไทยมีหลายแบรนด์อาหาร ซึ่งไมเนอร์ฯ มองที่จะขยายธุรกิจอาหารแบรนด์ต่างๆในแต่ละฮับของไมเนอร์ฯให้เพิ่มขึ้น รวมถึงการแบรนด์อาหารเหล่านี้ออกไปยังเมืองอื่นๆนอกฮับที่มีอยู่ด้วย และทำเรื่องของเฟรนไชส์ เพื่อเพิ่มรายได้

 ลงทุนตปท.กระจายความเสี่ยง

คุณชัยพัฒน์ ยังถึงจุดโฟกัสในการลงทุนของไมเนอร์ ที่จะเห็นชัดเจนถึงการต่อยอดการลงทุนในต่างประเทศ โดยเขาเล่าว่าในช่วง2-3 ปีที่ผ่านมา ไมเนอร์ฯทำดีลการซื้อกิจการในต่างประเทศ รวมกันมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 500 ล้านดอลล่าร์สหรัฐในโครงการโรงแรมต่างๆ ในตอนใต้และตะวันออกของทวีปแอฟริกา และในทวีปเอเชีย ออสเตรเลีย อเมริกาใต้และยุโรป ไม่รวมดีลล่าสุดในการเข้าซื้อกิจการของ กลุ่มทิโวลี โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ซึ่งเป็นโรงแรมแบรนด์ดังจากประเทศโปรตุเกส ซึ่งประกอบไปด้วยโรงแรมทั้งสิ้น 14 แห่งในประเทศโปรตุเกสและบราซิล ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมทั้งสิ้น 294.2 ล้านยูโร หรือกว่า 1.15 หมื่นล้านบาท การลงทุนในช่วงที่ผ่านมา และนอกจากทิโวลีแล้ว บริษัทได้ร่วมลงทุนกับบริษัท Sun International ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจในประเทศแอฟริกาใต้ การลงทุนในโครงการสร้างโรงแรมใหม่ในประเทศออสเตรเลียและมาเลเซีย และการร่วมลงทุนกับพันธมิตรเดิมอย่าง บริษัท รานิ อินเวสเมนท์ (Rani Investment) และ เอเลวาน่า (Elewana) ในตอนใต้และตะวันออกของทวีปแอฟริกา

ปัจจุบันหากรวมธุรกิจอาหารและโรงแรมในต่างประเทศ ไมเนอร์ฯมีการลงทุนอยู่แล้วใน 33 ประเทศ ถือเป็นกระจายความเสี่ยง ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดปัจจัยลบที่เป็นผลกระทบต่อการท่องเที่ยวในเมืองใด หรือแม้แต่ในไทย ก็ทำให้ธุรกิจของไมเนอร์ไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด

จุดเริ่มต้นของไมเนอร์ฯที่เริ่มต้นจากการเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจในประเทศ ขยับมาเป็นบริษัทระดับภูมิภาค และขณะนี้ได้ก้าวเข้าสู่การเป็นผู้ประกอบการในระดับโลก (บริษัทระดับโกลเบิ้ล) เพราะการซื้อกิจการทิโวลีนี้ช่วยยกระดับให้ไมเนอร์ฯ ขึ้นเป็นผู้ดำเนินธุรกิจโรงแรมระดับโลก ด้วยการขยายเครือข่ายโรงแรมให้ครอบคลุมไปยังทวีปยุโรปและอเมริกาใต้ และในอนาคตบริษัทมีแผนที่จะลงทุนเพิ่มในทรัพย์สินโรงแรม ฐานปฏิบัติการ และช่องทางการจัดจำหน่ายภายใต้แบรนด์ทิโวลีเพื่อสร้างผลประโยชน์สูงสุดจากการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในครั้งนี้

ดังนั้นหลังการซื้อกิจการของทิโวลี ทางไมเนอร์ฯมองว่าด้วยความเป็นแบรนด์เก่าแก่ ก็สามารถนำแบรนด์ไปต่อยอดการรับจ้างบริหาร หรือไปสร้างโรงแรมใหม่ นอกโปรตุเกสได้ โดยจะขยายแบรนด์ไปยังยุโรป อเมริกาใต้ได้เพิ่มขึ้น หรือแม้แต่การทำเรสซิเด้นท์ และไทม์แชร์ เป็นต้น

สำหรับแนวโน้มของผลการดำเนินธุรกิจของไมเนอร์ฯในปีนี้ที่ผ่านมา ถือว่าเติบโตดี โดยผลประกอบการในช่วง 9 เดือนแรกของปี2558 มีการเติบโตของกำไรกว่า 30% หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี2558 ก็เป็นไปได้ดี และมั่นใจว่าในปี2558 บริษัทฯจะมีการเติบโตที่ทำลายสถิติสูงสุด ซึ่งในปี2557 ไมเนอร์มีกำไร 4.4 พันล้านบาทหลักๆเป็นกำไรจากธุรกิจอาหาร 35% กำไรจากธุรกิจโรงแรมและมิกซ์ยูส อยู่ที่ 61% ที่เหลือเป็นกำไรจากธุรกิจจัดจำหน่าย

ทั้งหมดล้วนเป็นทิศทางการลงทุนเชิงกลยุทธของไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนลในอีก 5 ปีนี้ที่เกิดขึ้น

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,130 วันที่ 11 - 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559