รัฐบาลโดย อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ออกมาให้ความมั่นใจเศรษฐกิจไทยปีนี้โต 4.5% ใช้ถ้อยแถลงว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวเต็มศักยภาพ พร้อมกับวางแนวทางในการใช้นโยบายทางการคลัง เป็นเครื่องจักรสำคัญ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไป โดยเน้นนโยบายผ่อนคลายทางการคลังต่อเนื่อง ด้วยการดำเนินนโยบายขาดดุลงบประมาณ ในปีงบประมาณ 2562 ขาดดุลอีก 450,000 ล้านบาท
รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังยืนยันอย่างแข็งขัน ในการดำเนินนโยบายขาดดุลงบประมาณต่อเนื่องไปอีก 11 ปี จึงจะเข้าสู่ภาวะสมดุลทางการคลัง โดยให้ความมั่นใจว่าการขาดดุลงบประมาณ จะไม่กระทบฐานะทางการคลังของไทย ให้ข้อมูลประมาณการไว้ด้วยว่าหนี้สาธารณะต่อจีดีพีของไทย จะสูงสุดในอีก 4 ปีข้างหน้าไปที่ 48%จาก 40.4% ในปัจจุบันทั้งหมดอยู่ในกรอบวินัยการคลัง
[caption id="attachment_299778" align="aligncenter" width="503"]
อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์[/caption]
ถ้าเปรียบประเทศเหมือนกับบริษัทที่ทำธุรกิจ การขาดดุลงบก็เหมือนบัญชีบริษัทติดลบ ซึ่งบัญชีติดลบไม่ได้หมายถึงความเลวร้ายทั้งหมด ถ้าบริษัทนั้นๆมีโครงการที่จะสร้างรายได้ในอนาคตอย่างต่อเนื่อง มีโครงการในมือที่จะก่อให้เกิดกระแสเงินเข้ามา โดยมีแผนงานในการสร้างรายได้อย่างชัดเจน มีระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้หลุดพ้นจากบัญชีติดลบกลายมาเป็นบวก
กรณีการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลก็เช่นเดียวกัน การขาดดุลไม่ได้เป็นเรื่องแปลกประหลาด ถ้าหากผลของการขาดดุลไปผลักดันให้เศรษฐกิจหรือจีดีพีขยายตัว ซึ่งจะมีรายรับเพิ่มเข้ามาจากรายได้ภาษีที่สูงขึ้น มีการจ้างงานสูงขึ้น มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดีขึ้น การพัฒนาศักยภาพประเทศให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้นในระยะยาว นำพาประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน
เราเห็นด้วยกับการขาดดุลงบประมาณในระดับที่เหมาะสมและการใช้เงินงบประมาณที่มีประสิทธิภาพและคุ้มค่าในทุกบาททุกสตางค์ ป้องกันการรั่วไหลเปล่าประโยชน์อย่างรัดกุม เพราะเงินงบประมาณมาจากภาษีของประชาชน ซึ่งในการขาดดุลนั้นต้องพึงระวัง ไม่นำเงินไปใช้เพื่อเป็นสวัสดิการหรืออุดหนุนหรือทุ่มในภาคใดภาคหนึ่งในแง่ประชานิยม เพื่อหวังเรียกคะแนนเสียงทางการเมือง เพราะเป็นการลงทุนใช้เงินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ที่สุ่มเสี่ยงนำประเทศลงเหวมากกว่าฉุดดึงให้พ้นหลุมดำเหมือนกับหลายโครงการในอดีต
| บทบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ
| ฉบับ 3385 หน้า 6 ระหว่างวันที่ 22-25 ก.ค.2561