'ฟอร์ด' เปิดตัวแพง ปูทางขายรุ่นถูก! 'แร็พเตอร์' ปิกอัพพันธุ์โหดโดนสรรพสามิต 18%

ขึ้นมายึดอันดับ 3 ตลาดปิกอัพเมืองไทยอย่างเหนียวแน่น สำหรับ 'ฟอร์ด เรนเจอร์' แม้ยอดขายจะตามเจ้าตลาดอย่าง 'อีซูซุ' และ 'โตโยต้า' แต่การชนะมิตซูบิชิและนิสสัน ถือว่าไม่ธรรมดา

โดย 'ฟอร์ด' วางตำแหน่งสินค้า พร้อมสร้างภาพลักษณ์ให้กับเรนเจอร์แบบสุขุมนุ่มลึก ซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นความบังเอิญหรือตั้งใจ เพราะการเปิดตัวช่วงแรก ๆ (ประมาณ 6 ปีก่อน) ตัวแต่ง 'ไวลด์แทรก' (Wildtrack) ที่ราคาทะลุล้าน ยังมีผู้คนสนใจและต้องรอรถกันข้ามปี จนถึงขั้นฟอร์ดต้องประกาศปิดรับจองชั่วคราวมาแล้ว (มีเรื่องน้ำท่วมด้วย)




เรนเจอร์ถือว่า มีภาพลักษณ์ที่โดดเด่นแตกต่าง ใช้แล้วดูเท่ มีระดับกว่าแบรนด์ญี่ปุ่น พร้อมสมรรถนะอันยอดเยี่ยม อย่างตัวท็อป ตัวถังดับเบิลแค็บ เครื่องยนต์ดีเซล 5 สูบ 3.2 ลิตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ ไวลด์แทรกราคากว่า 1.1 ล้านบาท ถือเป็นโมเดลแห่งความฝันของหลาย ๆ คน ที่สำคัญยังเป็นแรงบันดาลใจให้หลายค่ายผลิตปิกอัพรุ่นท็อปจัดเต็มออพชันออกมาขายเช่นกัน

ล่าสุด ฟอร์ดยังเปิดเซ็กเมนต์ใหม่ให้เรนเจอร์ ด้วยการวางตำแหน่งให้เป็นปิกอัพสมรรถนะสูง หนีปิกอัพรุ่นท็อปของคู่แข่ง (ราคาล้านต้น ๆ) ขึ้นไปอีก




ฟอร์ดเปิดตัว 'เรนเจอร์ แร็พเตอร์' อย่างเป็นทางการครั้งแรกในโลกที่เมืองไทย เมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา จากนั้นเปิดเผยราคาขาย 1.699 ล้านบาท ในงานบางกอกมอเตอร์โชว์ 2018

แน่นอนว่า นี่คือ ปิกอัพไฮเอนด์ที่อยู่บนสุดของตลาดปิกอัพ ทว่าคงจะเป็นการต่อยอดภาพลักษณ์อันแข็งแกร่งของฟอร์ดมากกว่าการหวังยอดขาย ซึ่งจากราคาและการประชาสัมพันธ์ที่ผ่านมา ถือว่าสร้างปรากฏการณ์ "ว้าว" ให้แร็พเตอร์ได้ในระดับหนึ่ง




โดยราคาขายเกือบ 1.7 ล้านบาท ส่วนหนึ่งมาจากการปรับแต่งครั้งใหญ่ ทั้งในเชิงโครงสร้าง ระบบขับเคลื่อน อุปกรณ์เพิ่มสมรรถนะการขับขี่ และระบบความปลอดภัย ขณะเดียวกัน ยังโดนภาษีสรรพสามิตอัตราพิเศษ 18% หรือไม่ได้เสียในอัตราปิกอัพดับเบิลแค็บ (12% หากปล่อยไอเสียไม่เกิน 200 กรัม/กม. หรือ 15% ถ้าปล่อยไอเสียเกิน 200 กรัม/กม.) เพราะช่วงล่าง หลังไม่ได้เป็นแหนบแบบปิกอัพทั่วไป

ทั้งนี้ กรมสรรพสามิตแจ้งว่า 'เรนเจอร์ แร็พเตอร์' ถูกจัดให้อยู่ในพิกัดปิกอัพอื่น ๆ นอกเหนือจากที่กรมสรรพสามิตกำหนด ซึ่งสเปกรถเหนือกว่าดับเบิลแค็บ (เพราะเป็นช่วงล่างคอยล์สปริง) แต่ลักษณะการใช้งานก็ไม่ถึงขั้นเป็นพีพีวี (เสีย 25% หากปล่อยไอเสียไม่เกิน 200 กรัม/กม. และ 30% ปล่อยไอเสียเกิน 200 กรัม/กม.)




'ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์' เป็นปิกอัพสมรรถนะสูง ที่พัฒนาโดย ฟอร์ด เพอร์ฟอร์แมนซ์ (Ford Performance) ซึ่งยึดพื้นฐานเดียวกับเรนเจอร์ T6 แต่ปรับปรุงแชสซีส์ใหม่ ขนาดตัวถังใหญ่กว่าเรนเจอร์รุ่นปกติเล็กน้อย พร้อมวางเครื่องยนต์ดีเซล ขนาด 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ 213 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตร ประกบเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด

ขณะที่ ช่วงล่างได้รับการปรับปรุงใหม่ ทั้งโช้กอัพคู่ด้านหน้าและหลัง ของ Fox Racing Shox ที่มาพร้อมระบบบายพาสภายใน (Internal Bypass) ส่วนด้านหลังมีระบบวัตต์ลิงก์และคอยล์โอเวอร์ช็อก




ออกแบบแผงกันกระแทกด้านล่างให้ช่วยปกป้องห้องเครื่องจากการกระแทก เมื่อมีการขับขี่แบบออฟโรด แผงกันกระแทกนี้ผลิตจากเหล็กกล้า (High-Strength Steel) ที่มีความหนา 2.3 มิลลิเมตน และมีความทนทานสูงตามมาตรฐานของฟอร์ด เพอร์ฟอร์แมนซ์ (Ford Performance)

นอกจากนี้ ยังมาพร้อมออพชันเด่น ๆ ไล่ตั้งแต่กระจกมองหลังปรับลดแสงอัตโนมัติ เทคโนโลยีการตัดเสียงรบกวน ระบบสั่งงานด้วยเสียงซิงก์ 3 (SYNC 3) บนหน้าจอทัชสกีนขนาด 8 นิ้ว พร้อมการเชื่อมต่อบลูทูธและ Wi-Fi ระบบแผนที่นำทางแบบ 3 มิติ (Navigation System) ไฟหน้าแบบโปรเจ็คเตอร์ HID ไฟขับขี่กลางวันและไฟตัดหมอกแบบ LED บันไดข้างรถผลิตจากอะลูมิเนียมอัลลอย




"เรนเจอร์ แร็พเตอร์ ได้ผ่านขั้นตอนการออกแบบ ผลิตและทดสอบจากทีมฟอร์ด เพอร์ฟอร์แมนซ์ เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับเซ็กเมนต์ปิกอัพ ออกแบบมาเพื่อนักขับขี่แบบออฟโรดตัวจริง โดยตอกย้ำความมุ่งมั่นของฟอร์ดในการส่งมอบปิกอัพสายพันธุ์แกร่งให้กับผู้บริโภคในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก" นายจามัล ฮามีดิ หัวหน้าทีมวิศวกร ฟอร์ด เพอร์ฟอร์แมนซ์ (Ford Performance) กล่าวและว่า

เมื่อพิจารณาไล่ตั้งแต่ด้านล่างขึ้นไป จะสังเกตได้ว่า บันไดข้างของเรนเจอร์ แร็พเตอร์ ออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้เศษหินกระแทกกับตัวถังรถด้านหลัง และรูที่ถูกเจาะนั้น ถูกออกแบบมาเพื่อให้ระบายทราย โคลน และหิมะได้ โดยผลิตจากอะลูมิเนียมอัลลอย เพื่อเพิ่มความคงทนโดยเฉพาะ ทั้งยังผ่านการทดสอบด้วยการกดน้ำหนัก 100 กิโลกรัม ถึง 84,000 ครั้ง เพื่อจำลองการใช้งานในสนามทดสอบจริงกว่า 10 ปี




"บริเวณกันชนท้ายได้ผ่านการปรับปรุง โดยเพิ่มชุดตะขอเกี่ยวจำนวน 2 ชุด ที่รองรับการลากจูงได้ถึง 3.8 ตัน นอกจากนี้ ส่วนท้ายรถยังได้รับการพัฒนาด้วยกรอบตัวเซ็นเซอร์ที่เรียบเสมอกับตัวถัง และตัวเชื่อมขอลากที่ได้รับการติดตั้งและออกแบบพิเศษ ส่วนท้ายกระบะมีพื้นที่ใช้งานอย่างกว้างขวาง ด้วยขนาด 1,560x1,743 มิลลิเมตร ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัยในช่วงวันหยุด" นายฮามีดิ กล่าว




…ถือเป็นงานโชว์ของฟอร์ด ด้วยออฟชันแบบอัดเต็มและเสียภาษีสรรพสามิตแพงกว่าปิกอัพดับเบิลแค็บทั่วไป ส่งให้ราคาขายอยู่ในระดับ 1.7 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นปิกอัพผลิตในเมืองไทยที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ ส่วนตัวรถจะพร้อมส่งมอบให้ลูกค้าตั้งแต่เดือน ก.ย. นี้ เป็นต้นไป


……………….
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,354 วันที่ 5-7 เม.ย. 2561 หน้า 33

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
● เหยื่อฟอร์ด 308 ชีวิตได้เฮ! ศาลสั่งรับฟ้องเป็นคดีแบบกลุ่ม
● ฟอร์ดผนึก“แอพฯ เวซ”ติดแผนที่นำทางบอกสภาพจราจรสั่งงานด้วยเสียง