สิงห์เอสเตททุ่ม 310 ล้านเหรียญซื้อเครือเอาท์ริกเกอร์ในแหล่งท่องเที่ยวทั่วโลก

13 มิ.ย. 2561 | 12:01 น.
สิงห์ เอสเตท ขยายพอร์ทธุรกิจโรงแรม ก้าวสู่การเป็นบริษัทระดับสากล เข้าซื้อกิจการโรงแรมอีก 6 แห่ง จากกลุ่ม OUTRIGGER มูลค่า 310 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ เดินตามโร้ดแมพสู่การเป็น Premier Property Development and Investment Holding Company ล่าสุดมีโรงแรมรวม 37 แห่งทั่วโลก ด้านนริศ เชยกลิ่น ซีอีโอ ย้ำปีหน้าเห็นธุรกิจโรงแรมของสิงห์ เอสเตท เข้าตลาดหลักทรัพย์ตามแผน ขณะที่ยอดลงทุนรวมบริษัทฯ มาเร็วกว่ากำหนด คาดว่ารายได้ตามเป้า 20,000 ล้านบาทในปี 63

บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ประกาศความสำเร็จในการเข้าลงทุนซื้อกิจการโรงแรม และรีสอร์ทในแบรนด์เอาท์ริกเกอร์ จำนวน 6 แห่งใน 4 ประเทศท่องเที่ยวชั้นนำ มูลค่า 310 ล้านเหรียญสหรัฐ นับเป็นหนึ่งในย่างก้าวสำคัญตามแผนกลยุทธ์การลงทุนของสิงห์ เอสเตท (Smart M&A) ซึ่งมุ่งเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนระยะยาว และมีศักยภาพในการเติบโตสูง โดยบริษัทฯ มีแนวทางพัฒนาธุรกิจ สร้างจุดแข็งที่แตกต่าง เพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ ผ่านการสร้างประสบการณ์ที่ประทับใจให้แก่ลูกค้า พร้อมสร้างความยั่งยืนของธุรกิจ มุ่งเน้นการรักษาความสมดุลระหว่างความเติบโตของธุรกิจ คุณภาพชีวิตของชุมชน และความอุดมสมบูรณ์ของสิ่งแวดล้อม (Harmonious Co-Existence)
sing3 การเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้จะสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินให้กับบริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้ทันที ส่งผลให้ บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (SHR) บริษัทย่อยในกลุ่มสิงห์ เอสเตท มีความพร้อมที่จะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ในปี พ.ศ. 2562 ตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งจะทำให้ สิงห์ เอสเตท ก้าวขึ้นเป็น Premier Property Development and Investment Holding Company ระดับโลก และมีความพร้อมทางการเงินสำหรับโอกาสทางธุรกิจในอนาคต

จากการลงทุนในครั้งนี้จะทำให้ บมจ.สิงห์ เอสเตท เป็นเจ้าของโรงแรมเพิ่มขึ้นอีก 6 แห่ง ประกอบด้วย โรงแรมเอาท์ริกเกอร์ ลากูน่า ภูเก็ต บีช รีสอร์ท, โรงแรมเอาท์ริกเกอร์ เกาะสมุย บีช รีสอร์ท, โรงแรมเอาท์ริกเกอร์ ฟิจิ บีช รีสอร์ท ประเทศฟิจิ, โรงแรมแคสต์อะเวย์ ไอส์แลนด์ ประเทศฟิจิ, โรงแรมเอาท์ริกเกอร์ มอริเชียส บีช รีสอร์ท ประเทศมอริเชียส และโรงแรมเอาท์ริกเกอร์ โคน็อตต้า มัลดีฟส์ รีสอร์ท ประเทศมัลดีฟส์ ทำให้บริษัทฯมีพอร์ทธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ท เพิ่มขึ้นรวมเป็น 37 แห่งทั่วโลก

นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เป้าหมายของสิงห์ เอสเตท คือ การขับเคลื่อนบริษัทสู่ระดับโลก วางจุดยืนบริษัทเป็นนักลงทุนเน้นคุณค่า( Value Investor) ตั้งเป้ารายได้รวม 20,000 ล้านบาทภายในปีพ.ศ. 2563 ทั้งนี้ การเข้าซื้อกิจการธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ทของกลุ่มเอาท์ริกเกอร์ใน 4 ประเทศครั้งนี้ จะช่วยสร้างรายได้ที่มั่นคง และลดความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก ให้กับพอร์ทการลงทุนของธุรกิจโรงแรม ผ่านการเพิ่มความหลากหลายของกลุ่มลูกค้า กระจายการลงทุนในแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำทั่วโลก
sing กลยุทธ์การดำเนินงานแบบ Smart M&A ของสิงห์ เอสเตท ได้ส่งผลให้สินทรัพย์รวมของบริษัทฯเติบโตขึ้นจากแผนที่วางไว้ มีมูลค่าสินทรัพย์ปัจจุบัน 40,900 ล้านบาท เมื่อรวมกับมูลค่าการลงทุนขนาดใหญ่ในโครงการครอสโร้ดส์ที่ประเทศมัลดีฟส์แล้ว คาดว่าจะทำให้สินทรัพย์รวมของสิงห์ เอสเตท เติบโตสูงถึง 60,000 ล้านบาท และสามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ในระยะเวลาที่เร็วขึ้น

การเข้าซื้อกิจการธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ทกลุ่มเอาท์ริกเกอร์ของ สิงห์ เอสเตท สะท้อนให้เห็นถึง กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ที่นอกจากเน้นการเติบโตด้วยการสร้างคุณภาพที่ยั่งยืน ส่งผลตอบแทนในระยะยาว (Sustainable Growth) แล้ว ยังเป็นการสร้างคุณค่าให้กับแบรนด์ สิงห์ เอสเตท (Brand Equity) ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้ สิงห์ เอสเตท ก้าวขึ้นเป็นบริษัท Premier Property Development and Investment Holding Company ตามแผนของบริษัทฯ
sing1 ด้านมร.เจฟ วาโกเนอร์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอาท์ริกเกอร์ โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท กล่าวว่า สิงห์ เอสเตท เป็นบริษัทชั้นนำของประเทศไทย และมีชื่อเสียงระดับโลก ในฐานะผู้ลงทุนที่ได้รับความเชื่อมั่นในด้านการดำเนินธุรกิจ การบริหารองค์กร รวมทั้งยังเน้นการดำเนินธุรกิจด้วยหลักการเติบโตอย่างยั่งยืน ให้ความสำคัญกับทุกๆ ภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมีนโยบายด้านคุณภาพชีวิตของพนักงานในองค์กรเป็นอย่างดี ทำให้ผมมีความมั่นใจว่า สิงห์ เอสเตท จะดูแลครอบครัว Outrigger ได้เป็นอย่างดีต่อไปในอนาคต ความสำเร็จจากความร่วมมือทางธุรกิจในครั้งนี้ ถือว่าเป็นก้าวที่สำคัญยิ่งสำหรับ Outrigger ในด้านการเสริมสภาพความแข็งแกร่งด้านการเงินเพื่อรองรับแผนการขยายธุรกิจในอนาคต ในขณะเดียวกันก็สามารถส่งมอบประสบการณ์สุดพิเศษในรูปแบบของ Outrigger ในฐานะผู้บริหารโรงแรมระดับโลก

e-book-1-503x62-7