เมกอัพจับนักช็อปจีน -อัดกิจกรรมสร้างแบรนด์ จุดกระแสบอกต่อดันยอดขายพุ่ง

25 มิ.ย. 2561 | 07:17 น.
จับตาแบรนด์เมกอัพไทยรุกจับนักช็อปจีน “ศรีจันทร์” ชูกลยุทธ์ออนไลน์หัวหอกสร้างแบรนด์ ปลุกกำลังซื้อ พร้อมอัดโปรโมชันดันกระแสบอกต่อ ด้าน “ทูเดอะนายน์” ซุ่มขนสินค้าตีตลาดฮ่องกงผ่านโมเดิร์นเทรดกว่า 400 แห่งก่อนส่งต่อไปจีน เล็งเพิ่มช่องทางขายทั้งไดเร็กต์เซลและห้างสรรพสินค้า

นอกจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย ซึ่งปีนี้คาดว่าจะมีมากกว่า 10 ล้านคน จะเป็นกลุ่มเป้าหมายที่แบรนด์สินค้าไทยให้ความสนใจ กลุ่มผู้บริโภคในประเทศจีนเองก็มีศักยภาพและมีกำลังซื้อสูง ซึ่งชาวจีนกลุ่มนี้ให้ความนิยมแบรนด์สินค้าไทย ด้วยเชื่อมั่นในคุณภาพ ความคุ้มค่า คุ้มราคา โดยสินค้าไทยที่ได้รับความนิยม ได้แก่ ยาดม นมอัดเม็ด ผลไม้อบแห้ง สาหร่ายทอด หมอนยางพารา ฯลฯ ขณะที่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา สินค้ากลุ่มเครื่องสำอาง และสกินแคร์ทั้งที่มีส่วนผสมของหอยทาก สมุนไพร ฯลฯ ต่างได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้มีการเติบโตแบบก้าวกระโดด จนตลาดจีนกลายเป็นตลาดนำเข้าขนาดใหญ่ และนักท่องเที่ยวจีนในไทยก็เป็นนักช็อปตัวฉกาจ

[caption id="attachment_292753" align="aligncenter" width="325"] รวิศ หาญอุตสาหะ รวิศ หาญอุตสาหะ[/caption]

นายรวิศ หาญอุตสาหะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ “ศรีจันทร์” เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ปีนี้บริษัทมีแผนขยายตลาดเข้าไปในจีนอย่างเต็มรูปแบบ โดยช่วงแรกจะเน้นการทำตลาด ด้วยการสร้างการรับรู้ในตัวแบรนด์ผ่านช่องทางออนไลน์ของจีน ควบคู่ไปกับการเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เข้ามาในเมืองไทย เพื่อให้เกิดการบอกต่อแบบปากต่อปาก หลังจากที่ผ่านมามีผู้นำสินค้าของแบรนด์ศรีจันทร์เข้าไปจำหน่าย และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

“ปัจจุบันต้องยอมรับว่าศรีจันทร์ยังไม่ได้ติดอยู่ในลิสต์ของแบรนด์ไทยที่คนจีนนิยมเป็นลำดับต้นๆ ดังนั้นการสร้างแบรนด์นับจากนี้จะมุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าชาวจีนจึงเป็นงานที่ค่อนข้างหนักพอสมควร เหมือนเช่นแบรนด์อื่นที่ทำกันมา โดยอุปสรรคคือเรื่องของภาษา”

ทั้งนี้ศรีจันทร์ ได้แต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ (Official Distributor) ใน 6 ประเทศ ได้แก่ ฮ่องกง,ไต้หวัน, เวียดนาม, สปป.ลาว, มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ โดยเวียดนามถือเป็นตลาดใหญ่ที่สำคัญเป็นอันดับแรกของบริษัทโดยมีสัดส่วนยอดขายสูงถึง 80% จากยอดขายที่มาจากต่างประเทศทั้งหมด โดยจีนถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพและน่าจับตามอง ซึ่งนอกจากจีนแล้ว บริษัทยังสนใจที่จะเข้าไปทำตลาดในประเทศอินโดนีเซียเนื่องจากมีจำนวนประชากรสูง และมีช่องว่างทางการตลาด ซึ่งเบื้องต้นอยู่ระหว่างการมองหาพาร์ตเนอร์ที่เหมาะสม

mp36-3374-1-w


สำหรับกลยุทธ์การทำตลาด บริษัทเน้นการสื่อสารไปยังนักท่องเที่ยวจีน โดยเพิ่มภาษาจีน พร้อมทำโปรโมชันเพื่อดึงดูดให้ซื้อในปริมาณมาก

“กิจกรรมทางการตลาดในปีนี้จะมีค่อนข้างเยอะ ทั้งโปรโมชันส่วนลดพิเศษ ในทุกๆ ช่องทาง เพื่อกระตุ้นการซื้อโดยเฉพาะในไตรมาส 4 ถือเป็นช่วงไฮซีซันของการทำตลาดในหลายกลุ่มสินค้า ซึ่งหนึ่งในนั้นคือกลุ่มสินค้าเพื่อความงามที่จะออกมาโหมแคมเปญเพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงไตรมาสสุดท้าย โดยในส่วนของบริษัทได้เตรียมงบประมาณกว่า 50% จากงบประมาณการตลาดตลอดทั้งปีเพื่อทำกิจกรรมในช่วงไตรมาสสุดท้าย”

นอกจากนี้บริษัทยังแตกไลน์สินค้าใหม่ในกลุ่มเมกอัพ และเปิดตัวแบรนด์ใหม่ภายใต้ชื่อ “ศศิ” (sasi by Srichand) ที่มีระดับราคาเริ่มต้นไม่ถึง 100 บาท ออกมาเจาะกลุ่มวัยรุ่นในตลาดแมส เนื่องจากมองว่าตลาดเครื่องสำอางของวัยรุ่นมีการเติบโตอย่างสูง แต่ขณะเดียวกันกลุ่มดังกล่าวก็ยังมีกำลังซื้อไม่มากนัก จึงเปิดตัวแบรนด์ศศิออกมาทำตลาดในช่องทางโมเดิร์นเทรด โดยเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทวางเป้าหมายที่จะมียอดขายทั้งในและต่างประเทศกว่า 500 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มียอดขาย 300 ล้านบาท และวางเป้าหมายที่จะมียอดขายจากช่องทางออนไลน์เพิ่มเป็น 10% ในปี 2562 จากปัจจุบันที่มีอยู่ราว 5%

[caption id="attachment_292755" align="aligncenter" width="500"] จิลมิกา เฉลิมสุข จิลมิกา เฉลิมสุข[/caption]

ด้านนางสาวจิลมิกา เฉลิมสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทูเดอะนายน์ จำกัด และบริษัท ฟราโครา (ประเทศ ไทย) จำกัด ผู้ผลิต นำเข้า และจัดจำหน่ายเครื่องสำอางและสกินแคร์ อาทิ ไวท์ อิชิโกะ สกินแคร์, เชรี่ โคโค่ โฮลิสติก มาส์ค,ฟราโครา เป็นต้น กล่าวว่า บริษัทเน้นการทำตลาดในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน ฮ่องกง และมาเลเซียเป็นหลัก เนื่องจากมองว่าเป็นกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพ และมีการเติบโตสูง ขณะเดียวกันพฤติกรรมผู้บริโภคชาวจีนในปัจจุบันนิยมมองหาสินค้าที่มีคุณภาพจากต่างประเทศมากขึ้น ทำให้บริษัทมองเห็นโอกาสที่จะก้าวขึ้นเป็นดิสตริบิวเตอร์ในการกระจายสินค้าประเภทความงามและเครื่องสำอางครอบคลุมในต่างประเทศ

“บริษัทขยายตลาดไปยังมาเลเซียและฮ่องกงในปีก่อน โดยร่วมกับพันธมิตรชาวฮ่องกงนำสินค้าเข้าวางจำหน่ายในโมเดิร์นเทรดกว่า 400 แห่ง และพันธมิตรดังกล่าวยังเป็นตัวแทนนำสินค้าไปจำหน่ายในประเทศจีนด้วย โดยแผนงานในปีนี้คือการศึกษารูปแบบการทำตลาดใหม่ โดยจะแยกส่วนสินค้าที่เป็นแบรนด์ไทยจะเน้นทำตลาดแบบไดเร็กต์เซล และแบรนด์สินค้าที่บริษัทนำเข้าจากญี่ปุ่นจะเน้นขายในห้างสรรพสินค้า”

ทั้งนี้บริษัทเตรียมใช้งบลงทุนในประเทศจีน 15 ล้านบาท เพื่อนำสินค้าเข้าไปวางจำหน่าย พร้อมกับมองหาแบรนด์ใหม่ๆทั้งในเครือและนอกเครือเข้าไปเติมเต็มพอร์ตในการทำตลาด ขณะที่ฮ่องกงจะลงทุนเพิ่ม 30 ล้านบาท ตั้งสำนักงานเพื่อเป็นฐานในการนำสินค้าไปทำตลาดในประเทศจีนต่อไป ขณะที่ในประเทศมาเลเซียนั้นจะเป็นการปรับรูปแบบการทำตลาดของสินค้าเพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมลูกค้า พร้อมกับเตรียมเปิดตัวโปรเจ็กต์พิเศษในมาเลเซียภายในปีนี้

อย่างไรก็ตามบริษัทวางเป้าหมายที่จะมีรายได้จากการขายในประเทศ 600 ล้านบาท เติบโต 15% แบ่งเป็นรายได้จากกลุ่มสกินแคร์ 60% คอสเมติก 35% และอาหารเสริม 5% ขณะที่ยอดขายในตลาดต่างประเทศปีนี้คาดว่าจะเติบโต 150% ส่งผลให้มียอดส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 30%

...........................................................................

หน้า 36 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ | ฉบับ 3,374 ระหว่างวันที่ 14-16 มิ.ย.61

e-book-1-503x62-7