ประยุทธ์ย้ำหน่วยราชการเร่งใช้เทคโนโลยีทำงานพัฒนาชาติเเละช่วยปชช.
พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน”ว่า” เรื่องการยกระดับการให้บริการ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนและการลงทุน อาทิ โครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ หรือ National e-Payment ที่ช่วยทั้งในเรื่องความสะดวกสบายในการชำระเงินของประชาชน และภาคธุรกิจ SMEs ทั้งการโอนเงินที่เชื่อมโยงมากขึ้น ผ่านระบบพร้อมเพย์ (Prompt Pay) ที่ปัจจุบัน มีผู้ลงทะเบียนใช้แล้วกว่า 40 ล้านบัญชี ยอดการทำธุรกรรมสูงถึง 127 ล้านรายการ มูลค่ารวมกว่า 4.9 แสนล้านบาท ซึ่งการปรับลดค่าธรรมเนียมในโครงการพร้อมเพย์นี้ ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ยกเลิกค่าธรรมเนียมการโอนเงินทั้งหมดในที่สุด
ผมขอขอบคุณธนาคารพาณิชย์ที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ช่วยกันสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนและธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs เป็นจำนวนมาก ในภาครัฐเอง ตอนนี้ก็มีการปรับในเรื่องการรับชำระเงินต่าง ๆ ให้สะดวกขึ้นผ่านเดบิตการ์ด ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนไม่ต้องถือเงินสดจำนวนมาก ๆ มายังสถานที่ราชการอีกแล้ว ต่อไปเราก็จะเร่งเชื่อมโยงฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อย ข้อมูลสวัสดิการสังคม และระบบการรับจ่ายเงินให้แก่ประชาชน เพื่อให้สามารถให้ความช่วยเหลือและให้บริการประชาชนได้อย่างตรงจุด ตรงคน ลดการทุจริตในกระบวนการจ่ายเงินของภาครัฐ ถึงมือพี่น้องประชาชนผู้ได้รับผลประโยชน์โดยตรง
ในโครงการต่าง ๆ อีกด้วย เช่น ความร่วมมือระหว่างธนาคารกรุงไทย กรมบัญชีกลาง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้สร้างระบบการจ่ายเงินอุดหนุนผู้ประสบภัยทางสังคมที่มีบัญชีกับธนาคารกรุงไทย ให้สามารถรับเงินอุดหนุนได้ทันที ซึ่งระบบนี้สามารถตรวจสอบข้อมูลและสิทธิ์ของผู้รับโอนก่อนดำเนินการได้ด้วย นอกจากนี้ ยังจะมีการยกเว้นค่าธรรมเนียมการเปิดบัญชี สำหรับผู้รับเงินอุดหนุนที่ไม่มีบัญชีธนาคาร รวมถึงค่ารักษาบัญชี และผู้รับเงินจะได้รับ SMS แจ้ง เมื่อมีเงินเข้าบัญชีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ในอนาคต เพื่อให้ผู้ที่ไม่มีบัญชีธนาคาร หรือไม่สะดวกไปเปิดบัญชี ก็จะสามารถรับเงินผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือใช้บัตร e-Money ได้อีกด้วย
นอกจากนี้ ยังมีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน และการบริการภาครัฐอย่างกว้างขวาง อาทิ การพัฒนาแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri-Map) ตั้งเป้าหมายการปรับเปลี่ยนพื้นที่การเพาะปลูกให้เหมาะสม ระยะ 20 ปี (60-79) รวม 6 ล้านไร่ ช่วง 5 ปีแรกเราทำได้ 1.5 ล้านไร่ โดยมี ศพก. (ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร) 882 ศูนย์ทั่วประเทศ และเกษตรแปลงใหญ่เป็นกลไกขับเคลื่อน ในเฉพาะปี 61 นี้ มีเกษตรกรเข้าร่วม 43,000 กว่าราย เป็นพืชเศรษฐกิจ ราว 160,000 ไร่ เกษตรผสมผสาน กว่า 81,000 ไร่ ปศุสัตว์ 18,000 กว่าไร่ และประมง 1,100 กว่าไร่ ส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการผลิตสินค้าทางการเกษตรชนิดใหม่ ให้มีรายได้เพิ่มขึ้น คุณภาพชีวิตดีขึ้น
ทางตลาดการผลิต อีกตัวอย่างหนึ่ง ก็คือร้านค้าดิจิทัลชุมชนที่เป็นการยกระดับการบริหารร้านค้าปลีก ขยายผลจากเครือข่ายเน็ตประชารัฐ ให้สามารถทำการค้าออนไลน์ (e-Commerce) ประกอบด้วย 3 ระบบงานย่อย เกี่ยวกับ ร้านค้า ธุรกรรมการเงิน การส่งสินค้า (e-Marketplace, e-Payment และ e-Logistics) โดยเริ่มจากร้านค้าประชารัฐสามัคคี ที่มีที่ตั้งเหมาะสมในพื้นที่โครงการเน็ตประชารัฐ ราว 25,000 จุด แล้วเราจะขยายไปจนครบ 75,030 หมู่บ้านทั่วประเทศ เฉพาะปี 61 จำนวน 5,000 แห่ง โดย 25 พ.ค.นี้ จะทดลองขายสินค้าเป้าหมาย 125 รายการ จาก 1,300 รายการสินค้า ที่อยู่ในระบบคาดว่าจะสร้างมูลค่าได้ ราว 6.5 ล้านบาทต่อเดือน
สิ่งสำคัญในปัจจุบัน เพื่อให้เกิดการบริหารราชการในอนาคตก็คือ การบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ หรือ BIG Data ของภารรัฐ ซึ่งวันนี้ผมได้มุ่งเน้นให้ดำเนินการในเรื่องนี้เป็นพิเศษ มีความคืบหน้าไปตามลำดับ มีการบูรณาการฐานข้อมูลภาครัฐ 4 ด้าน ได้แก่ ด้านความมั่นคง เช่น ฐานข้อมูลกลางและภาพถ่ายทางอากาศ พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และฐานข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล ด้านทรัพยากรน้ำและภูมิอากาศ ซึ่งเราจะมีระบบอัจฉริยะสนับสนุนการตัดสินใจในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำด้วย ด้านข้อมูลประชาชนและการบริการภาครัฐ และด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมของชาติ และระบบสารสนเทศ เชื่อมโยงการบริหารข้อมูลภาครัฐทั้งปวง เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้ จะช่วยในการตกลงใจในการใช้จ่ายงบประมาณได้อย่างมีธรรมาภิบาล และมีการกำหนดทิศทางการบริหารประเทศได้อย่างมียุทธศาสตร์ในอนาคต รวมทั้งช่วยการแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนได้อย่างตรงจุด ตรงคน ตรงกับความต้องการ วันนี้ภาคธุรกิจก็ใช้ Big Data ในการบริหารจัดการอยู่ด้วย”