สงครามทางการค้ากับทองคำ

22 มี.ค. 2561 | 23:15 น.
MP18-3350-2A ท่าทีในการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ไม่ถือว่าเรื่องใหม่ เพราะนับตั้งแต่โดนัลด์ ทรัมป์ก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ ทรัมป์ก็มีการแสดงความเห็นในเชิงต่อว่าต่อขานประเทศคู่ค้าอย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมาเป็นเพียงวาทกรรมซึ่งสร้างผลกระทบต่อตลาดเพียงระยะสั้นเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม นโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ เริ่มเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นจนส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลในวงกว้างว่านโยบายดังกล่าวอาจนำไปสู่สงครามการค้าโลก หลังทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา เพื่อเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กในอัตรา 25% และอะลูมิเนียม 10% จากประเทศต่างๆ ยกเว้นแคนาดาและเม็กซิโกซึ่งเป็น 2 ประเทศคู่ค้าในข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) แต่ส่งสัญญาณว่าอาจจะยกเว้นภาษีให้กับประเทศอื่นๆ หากประเทศเหล่านี้เจรจาและสามารถตกลงกับสหรัฐฯ ได้ว่าสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียมของพวกเขาจะไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ โดยมาตรการดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ใน 15 วัน ถึงแม้มาตรการดังกล่าวจะเผชิญกับเสียงคัดค้านจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคนในสหรัฐฯและเป็นที่มาที่ทำให้นายแกรี่ โคห์น หัวหน้าที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาวตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งก็ตาม

MP18-3350-1A ไม่เพียงแต่ความขัดแย้งทางการเมืองภายในสหรัฐฯเท่านั้น แต่สหรัฐฯกำลังเผชิญกับความขัดแย้งกับประเทศคู่ค้าเช่นกัน โดยเฉพาะจีนที่ขู่ว่าจะออกมาตรการตอบโต้เพื่อปกป้องสิทธิ์และประโยชน์ของตนเอง และเรียกร้องให้สหรัฐฯ ยกเลิกนโยบายดังกล่าวให้เร็วที่สุด แม้แต่พันธมิตรอย่างสหภาพยุโรป (EU) ก็ออกมาเรียกร้องให้สหรัฐฯยกเว้นการเก็บภาษี รวมถึงญี่ปุ่นก็ออกมาแสดงความเห็นว่าการตัดสินใจเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมของสหรัฐฯ อาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐฯ หลายๆองค์กรก็ออกมาส่งเสียงเตือนเช่นกันว่านโยบายเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจะส่งผลเสียอย่างมากต่อการค้าโลกและเศรษฐกิจโลก

นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่แสดงความวิตกเช่นกันว่า ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจสหรัฐฯอาจทวีความรุนแรงมากขึ้นหากสหรัฐฯเผชิญจากการดำเนินมาตรการตอบโต้ของประเทศคู่ค้าและนำมาซึ่งความเป็นไปได้ของการเกิดสงครามการค้าในวงกว้าง และการทำสงครามการค้าอาจกลับมาสร้างความเสียหายทั้งในด้านผู้ผลิตของสหรัฐฯที่ต้องเผชิญกับการตอบโต้จากบริษัทคู่แข่งต่างชาติ และทางด้านผู้บริโภคในสหรัฐฯที่อาจได้รับผลกระทบราคาสินค้าและการบริการปรับตัวสูงขึ้น

แบนเนอร์ชั่วโมงฐานเศรษฐกิจ แน่นอนว่านโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐฯกดดันสกุลเงินดอลลาร์ให้อ่อนค่าลง ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯก็ตอบสนองในเชิงลบต่อนโยบายดังกล่าวเช่นกัน สถานการณ์ดังกล่าวหนุนให้ราคาทองคำสามารถทรงตัวเหนือ 1,300 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ถึงแม้จะเผชิญกับปัจจัยกดดันสำคัญอย่างการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) นอกจากนี้ YLG เชื่อว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้นเพราะทรัมป์เล็งเป้าในการดำเนินการครั้งนี้ไปที่ “จีน” โดยสหรัฐฯเตรียมที่จะกำหนดภาษีต่อสินค้านำเข้าของจีนมูลค่ามากถึง 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯในภาคเทคโนโลยีและการสื่อสารโทรคมนาคม และอาจขยายวงกว้างมากขึ้นและในที่สุดรายการผลิตภัณฑ์อาจจะเพิ่มเป็น 100 รายการ และแน่นอนว่าจีนจะไม่ยอมให้ประเทศถูกดำเนินการฝ่ายเดียวอย่างแน่นอน ดังนั้นประเด็นนี้จะเป็นสิ่งที่นักลงทุนทองคำต้องจับตา เพราะท่าทีกีดกันทางการค้าที่อาจนำมาซึ่งสงครามทางการค้า มาตรการตอบโต้ของประเทศคู่ค้าเพื่อเอาคืน (tit-for-tat) รวมไปถึงความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯและนานาประเทศ อีกทั้งความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในสหรัฐฯเองจะเป็นปัจจัยกดดันสกุลเงินดอลลาร์และสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างเสถียรภาพให้แก่ราคาทองคำในปีนี้ได้

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,350 วันที่ 22 - 24 มีนาคม พ.ศ. 2561
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว