ROBERT MONDAVI (4)

22 มี.ค. 2561 | 23:05 น.
MP35-3350-1A OB ต้องการให้ ROBERT MONDAVI เป็น THE BEST โรงไวน์ และในระหว่างทางที่แสวงหา “ความเป็นเลิศ” BOB ไม่เคยหยุดที่จะหาคำตอบที่ถูกต้อง

BOB รู้ดีว่า ประเพณีการผลิตไวน์ วิธีการ เครื่องมือ และปรัชญา จะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ แต่ละภูมิภาค แต่ละโรงไวน์ และรสนิยมของแต่ละผู้ผลิต

BOB เดินทางทั่วโลก เพื่อจะหา “ความรู้” ทดลองชิมไวน์ ดูขบวนการผลิตในแต่ละท้องถิ่น ทดสอบทุกรายละเอียดของการผลิตไวน์ชั้นเลิศที่แตกต่างกันออกไป เพียงเพื่อจะหาวิธีการหรือเทคนิคใหม่ๆ ที่จะผลิตไวน์ให้ดีกว่าที่มีอยู่
BOB เชื่อว่า “ธรรมชาติ” เป็นตัวผลิตไวน์ได้ โดยไม่ต้องพึ่งพามนุษย์ องุ่นสุกจะมีเปอร์เซ็นต์นํ้าตาลสูงถึง 20-25% เมื่อผิวแตก ยีสต์จะเปลี่ยนนํ้าตาลเป็นแอลกอฮอล์ และนํ้าองุ่นกลายเป็นไวน์

หน้าที่ของผู้ผลิตไวน์คือ การดูแล-ควบคุมขบวนการธรรมชาตินี้ให้เป็นไปอย่างนุ่มนวลที่สุดที่จะทำได้

คุณภาพของ “ไวน์” ขึ้นอยู่กับคุณภาพของ “องุ่น” ไวน์สไตล์ง่ายๆ สนใจแค่กลิ่นรสของตัวองุ่น หากเป็นไวน์ชั้นสูงขึ้นไปอีก กลิ่นรสซับซ้อนขึ้นไปจากกรรมวิธีการหมัก อายุของถัง การใช้ YEAST การที่จะผลิตไวน์ชั้นดี จึงขึ้นอยู่กับคุณภาพขององุ่นชั้นดี และเทคนิคการผลิตที่ต้องใช้ “แรงงานคน” เป็นจำนวนมาก การผลิตจึงมีต้นทุนที่แพง

นอกจากการเสาะแสวงหาเทคนิค เครื่องมือใหม่ๆ เพื่อจะผลิตไวน์ชั้นเลิศ ROBERT MONDAVI บุกไปหาชาวไร่องุ่น วัตถุดิบหลักสำคัญ และเสนอแผน INCENTIVE ให้ชาวไร่เน้นคุณภาพของผลิตผล

ยิ่งร่วมมือกับโรงงาน เพื่อให้ได้องุ่นคุณภาพดีที่ ROBERT MONDAVI ต้องการชาวไร่จะได้ราคา ผลผลิตมากกว่าราคาชั่งในท้องตลาด

โรงไวน์ ROBERT MONDAVI ยังให้ EDUCATION PROGRAM กับชาวไร่ในเดือนกุมภาพันธ์ โรงงานจะเชิญชาวไร่มาชิมไวน์แรกผลิตจากองุ่นที่เขาทั้งหลายส่งเข้าโรงงาน เพื่อให้รู้ถึงความสัมพันธ์ของ ผลิตผลองุ่นกับไวน์ของโรงงาน
นอกจากนี้ ROBERT MONDAVI ยังส่งผู้เชี่ยวชาญไปให้คำแนะนำในไร่ หากจำเป็นต้องปรับปรุง เปลี่ยนแปลง วิธีการปลูก การบำรุงรักษา การตัด ฯลฯ ก็ต้องทำ

ชาวไร่ที่ทำงานกับโรงไวน์ ROBERT MONDAVI ภาคภูมิใจและรู้ซึ้งว่าในไร่องุ่นของตนไม่ได้ ปลูกองุ่น หากแต่ปลูก “ไวน์” ชั้นดี

นอกจากความรู้และการทดลองตลอดชีวิตของตนเองแล้ว BOB ยังมีมหาวิทยาลัยชั้นดีเป็น BACK ในศาสตร์การทำไวน์ และชื่อเสียงของโรงไวน์ ROBERT MONDAVI ที่เป็น TEST TUBE WINERY “มุ่งหาความเป็นเลิศ” ด้วย INNOVATION ทำให้ BOB ได้ “มือดี” เด็กใหม่มาทำงานด้วย อย่างเช่น WARREN WINIARSKI และ MIKE GRGICH ซึ่งต่อมาได้พัฒนาตนเองเป็น “เถ้าแก่” โรงไวน์อย่างภาคภูมิ

WARREN เป็นเจ้าของ STAG’s LEAP WINE CELLARS ที่โด่งดังและ MIKE ได้เป็นหุ้นส่วนกับ CHATEAU MONTELENA และผลิตไวน์ขาว CHARDONNAY ชั้นเลิศทำชื่อให้กับไวน์ NAPA VALLEY

MP35-3338-1A นอกจากการยึด P ตัวแรก PRODUCT เป็น “พระเจ้า” แล้ว BOB ใช้ตัวเองและความสามารถที่มีมาแต่กำเนิดคือ “พูด” PROMOTE สินค้า ROBERT MONDAVI ไปที่ไหนก็ตามจะไม่ลืมหนีบไวน์ MONDAVI ไปให้คนทดลองและจะ “พูด พูด พูด” ขายทั้ง WINE และ NAPA VALLEY

คุณสมบัติพิเศษอีกประการคือ เมื่อเกิด “วิกฤติ” BOB จะหาเพื่อนสนิทที่สามารถทนฟังเขาพรํ่าบ่นได้เป็นชั่วโมงๆ มารับฟัง ระหว่างพูด BOB จะเขียน เขียน เขียน คิดวิธีแก้ปัญหา เมื่อสงบแล้ว BOB จะมานั่งอ่านสิ่งที่เขาเขียน และกลั่นกรอง “แก้ปัญหา”

เทคนิคนี้ได้ใช้ครั้งแรกเมื่อตอนจะแยกตัวจากธุรกิจครอบครัวโรงไวน์ PAUL KRUG มาสร้าง ROBERT MONDAVI และอีกครั้ง BOB ใช้เมื่อหุ้นของโรงไวน์ MONDAVI ดิ่งเหว

จุดเปลี่ยนสำคัญหนึ่งจุดที่น่าพูดถึงในธุรกิจของ ROBERT MONDAVI คือ การได้ร่วมพัฒนาไวน์กับ BARON PHILIPPE DE ROTHSCHILD ROTHSCHILD เป็น BIG NAME ของ FRENCH WINE ในปี 1960 BARON PHILIPPE เริ่มได้ยินถึงการพัฒนาธุรกิจไวน์ใน CALIFORNIA และสนใจจะหา PARTNER

BOB รู้ว่าท่าน BARON PHILIPPE ผู้ยิ่งใหญ่มีรสนิยมตรงกันในแง่ “แสวงหาความเป็นเลิศ” และไม่ยอมอ่อนข้อหรือท้อถอยในการแสวงหาคำขวัญที่ติดบนขวดไวน์ของ ROTHSCHILD บอกตัวตนของ BARON PHILIPPE
“FIRST I AM NOT. I DO NOT DEIGN TO BE SECOND I AM MOUTON”

ทั้งสองเป็น PARTNER ในการผลิตไวน์ดัง “OPUS ONE” ที่เศรษฐีไทยหรือ “สามล้อถูกหวย” มักจะถามหาและหนีบไปขวดสองขวดเมื่อมาเยือน ROBERT MONDAVI WINERY ที่ NAPA VALLEY

แม้ราคาขวดละเหยียบหมื่นบาทก็ไม่ถอย

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,350 วันที่ 22 - 24 มีนาคม พ.ศ. 2561
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว