“บล.โกลเบล็ก”มองหุ้นไทยหวั่น สงครามการค้าจีน-สหรัฐ

20 มี.ค. 2561 | 04:09 น.
บล.โกลเบล็กจับสถานการณ์ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ หลังสหรัฐผ่านกฏหมาย Taiwan Travel Act และการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดที่จะมีการประชุมในเดือนีนาคมนี้ ให้กรอบ ดัชนี  1,775 -1,825 จุด ด้านราคาทองคำ จับตาทองหลุด 1,300 ดอลลาร์เป็นจังหวะซื้อกลับ

[caption id="attachment_269897" align="aligncenter" width="335"] น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง[/caption]

-20 มี.ค.61-น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBSกล่าวว่าตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้เริ่มมีความกังวลต่อสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐมากขึ้น  หลังสหรัฐผ่านกฏหมาย Taiwan Travel Act ที่เปิดทางให้สหรัฐสามารถส่งเจ้าหน้าที่ไปยังไต้หวัน และเจ้าหน้าที่ไต้หวันเดินทางมาพบปะพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ของสหรัฐได้  ซึ่งอาจเป็นการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและจีน  เนื่องจากถือเป็นการละเมิดนโยบายจีนเดียว และละเมิดต่อแถลงการณ์ร่วมที่จีนและสหรัฐเคยประกาศร่วมกันก่อนหน้านี้  นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่น่ากังวลว่าสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐอาจลุกลามจากการที่สหรัฐเตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศโทรคมนาคม และสินค้าเพื่อผู้บริโภคจากจีนเพื่อตอบโต้การค้าที่สหรัฐมองว่าไม่เป็นธรรม  เนื่องจากในเดือนม.ค.ที่ผ่านมาสหรัฐขาดดุลการค้าต่อจีนเพิ่มขึ้น 16.7% สู่ระดับ 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.2558  ขณะที่การส่งออกสินค้าสหรัฐไปยังจีนลดลง 28.1% นำเข้าเพิ่มขึ้น 2.9%

นอกจากนี้ การคาดการณ์ว่าที่ประชุม FED จะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมในเดือนมีนาคมนี้ โดยเครื่องมือ Fed Watch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาส 86% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เป็นครั้งแรกในปีนี้  และเม็ดเงินการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติยังมีความผันผวนต่อเนื่อง โดยในช่วง 1 เดือนย้อนหลังนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1 หมื่นล้านบาท

ส่วนปัจจัยบวกที่น่าสนใจ คือ การประกาศตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในเดือนก.พ. ของกลุ่มประเทศยูโรโซนชะลอตัวลงสู่ระดับ 1.1%เมื่อเทียบรายปี ทำให้แรงกดดันในการถอนมาตรการ QE ของธนาคารยุโรป (ECB) ลดลง และคาดว่าธนาคารกลางอังกฤษยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมรอบนี้   ส่วนราคาน้ำมันทรงตัวที่ระดับสูงส่งผลบวกเชิงจิตวิทยาต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน

สำหรับปัจจัยที่ยังคงต้องจับตาต่อในวันที่ 20 – 21 มี.ค.กำหนดการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ วันที่ 22 มี.ค.สนช.พิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี 61 วงเงิน 1.5 แสนลบ. และในวันเดียวกัน  อียู เปิดเผย ดัชนีผู้จัดการฝ่ายซื้อ(PMI) ภาคการผลิตและภาคการบริการเบื้องต้นเดือนมี.ค. ด้านธนาคารกลางอังกฤษมีกำหนดประชุมนโยบายการเงินและแถลงมติอัตราดอกเบี้ย และสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีผู้จัดการฝ่ายซื้อ (PMI) ภาคการผลิตและภาคการบริการเบื้องต้น มี.ค. ขณะที่วันที่ 23 มี.ค. จับตาชัตดาวน์สหรัฐ

แบนเนอร์รายการฐานยานยนต์ ด้านนายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็ก จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีหุ้นไทยในรอบสัปดาห์คาดว่าจะมีทิศทางอ่อนตัวลงได้ และคงต้องจับตาว่า FED จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามตลาดคาดหรือไม่ โดยคาดดัชนี  SET ผันผวนในกรอบ 1,775 -1,825 จุด แนะนำซื้อเก็งกำไร หุ้นที่มีปัจจัยบวก เช่น หุ้น  TOP, M, BCPG ได้อานิสงส์จากการเข้าคำนวณ FTSE แต่ยัง laggard รองลงมาหุ้น CPF, GFPT, TFG ได้ประโยชน์จากการที่จีนรับรองมาตรฐานโรงงานผลิตไก่ไทย และหุ้น  ERW ได้ประโยชน์จากการส่งเสริมท่องเที่ยวเมืองรอง และแนวโน้มจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เพิ่มขึ้นโดยสัดส่วนรายได้หลักมาจากโรงแรมในไทย  และลูกค้าหลักได้แก่ลูกค้าคนไทยและลูกค้าชาวจีน

ด้านแนวทางการลงทุนในทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า สำหรับทิศทางราคาทองในสัปดาห์นี้ยังคงกังวลว่า  Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 1.50% เป็น 1.75% โดยแถลงการณ์หลังการประชุม FOMC ของประธานคนใหม่จะช่วยยืนยันความเร็วในการปรับดอกเบี้ยครั้งต่อไปได้  หลังจากที่เคยกล่าวกับที่ประชุมสภาฯมาก่อนหน้านี้ว่าจะยังคงปรับขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป  จึงคาดว่า bond yield สหรัฐฯจะปรับขึ้นแค่ช่วงสั้น  เช่นเดียวกับค่าเงินดอลลาร์ที่มีแนวโน้มจะรีบาวน์ขึ้นแข็งค่ามากกว่าจะกลับทิศทางเป็นแข็งค่าในระยะยาว  ทำให้ราคาทองคำมีโอกาสจะหลุดกรอบรูป descending triangle ได้ในสัปดาห์นี้  ซึ่งมุมมองทางเทคนิคหากราคาหลุด  1,300 ดอลลาร์ และคาดว่าจะลงไปทดสอบบริเวณ 1,260 ดอลลาร์ แต่ถ้าราคายืนไม่หลุด 1,300 ดอลลาร์ คาดว่าการแกว่งตัวจะเป็นแบบ sideway ไปอีกสักระยะ จึงแนะนำลยุทธ์เล่นสั้นให้รอจังหวะ follow short เมื่อราคาหลุดระดับ  1,300 ดอลลาร์ หรือ trading long เมื่อราคาอยู่เหนือระดับ 1,325 ดอลลาร์ ส่วนพอร์ตระยะกลางถึงยาวเริ่มทยอยรับเมื่อราคาร่วงลงมาที่ระดบ 1,260 ดอลลาร์ ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว