สแน็ก 3.5 หมื่นล.เดือด ‘มอนเดลีซ’ ยักษ์มะกันประกาศ 3 ปีขึ้นผู้นำ

15 มี.ค. 2561 | 09:14 น.
“มอนเดลีซ” ยักษ์ใหญ่แดนมะกัน ปูพรมรุกตลาดสแน็กเมืองไทย ชูวิชัน 3 ปี กางแผนพัฒนาคน องค์กร สังคม พร้อมเดินหน้าสร้างสินค้าเพื่อสุขภาพรับเทรนด์ผู้บริโภคยุคใหม่ มั่นใจขึ้นแท่นผู้นำ พร้อมเติบโตอย่างยั่งยืน 5-10%

ชื่อของ “มอนเดลีซ” อาจจะไม่คุ้นหูคนไทย แต่หากเอ่ยถึง “ฮอลล์” “โอรีโอ” และอีกหลายๆ แบรนด์เชื่อว่าจะเป็นที่รู้จักและเคยได้ลิ้มรส วันนี้แบรนด์ยักษ์ใหญ่สัญชาติอเมริกันผู้นำเข้าสินค้าจากทั่วโลกมาจำหน่ายในประเทศไทยรายนี้ ขยับตัวครั้งใหญ่พร้อมประกาศแผนรุกหนักเพื่อขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในไทย โดยมีสนามธุรกิจขนมขบเคี้ยวหรือสแน็ก มูลค่ากว่า 3.5 หมื่นล้านบาทเป็นเดิมพัน

นายฐานันท์ สุวรรณรักษ์ ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทย บริษัท มอนเดลีซ อินเตอร์เนชันแนล (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและนำเข้าบิสกิต, ลูกอม และช็อกโกแลตชั้นนำ อาทิ ลูกอมฮอลล์, หมากฝรั่งเดนทีน,ลูกอมคลอเร็ท, คุกกี้โอรีโอ,แครกเกอร์ริทซ์, ช็อกโกแลตแคดเบอรี ฯลฯ เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า เป้าหมายการดำเนินธุรกิจในเมืองไทย 3 ปีนับจากนี้จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาดทุกหมวดสินค้าที่เป็นผู้นำเข้าและจำหน่าย โดยกลยุทธ์หลักที่จะนำมาสร้างการเติบโตประกอบด้วย 3 ขาหลัก ได้แก่ 1.Grow Our People การพัฒนาศักยภาพของบุคลากร 2. Grow Our Business การเสริมสร้างพื้นฐานทางการทำงาน การพัฒนานวัตกรรมออกสู่ตลาด และ 3. Grow Our Impact การ
นำเสนอสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม การทำตลาดอย่างมีความรับผิดชอบ

ขณะที่การทำตลาดในปีนี้จะให้ความสำคัญกับการขยายตลาดใน 2 ส่วนหลักทั้งผลิตภัณฑ์แบบดั้งเดิม และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ทั้งการพัฒนาสินค้าใหม่ที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น การเปิดตัวสินค้าใหม่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เดิม และในกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ราว 4 ครั้งต่อปี รวมไปถึงการนำเข้าสินค้าแบรนด์ใหม่จากระดับโกลบัลที่บริษัทมีอยู่ในมือกว่า 100 แบรนด์ โดยวางเป้าหมายเจาะไปยังกลุ่มลูกค้าให้ทั่วถึงทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อให้เกิดการทดลองชิม โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพที่กำลังได้รับความนิยมจากกลุ่มผู้บริโภคในขณะนี้

MP36-3347-A โดยบริษัทได้ทยอยเปิดตัวสินค้าเพื่อสุขภาพไปบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ฮอลล์ XS Sugar Free เป็นต้น ซึ่งได้รับเสียงตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี สามารถสร้างส่วนแบ่งทางการตลาดให้แบรนด์ฮอลล์ได้ 10% ในช่วงที่ผ่านมา จากมูลค่าตลาดรวมลูกอมเมืองไทยกว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยวางเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนสินค้าเพื่อสุขภาพไว้ที่ 50% ใน 3 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันที่มีสัดส่วน 20%

“จากนี้ไปการเปิดตัวสินค้าแต่ละครั้งจะไม่ทำเล็กๆ และเยอะๆ แต่เราจะเน้นเปิดตัวใหญ่ๆ แต่น้อยๆ เพื่อให้เกิดความน่าสนใจ และผู้บริโภคติดตาม ซึ่งการเปิดตัวสินค้าใหม่ของบริษัทแต่ละครั้งจะมีการอิงพฤติกรรมผู้บริโภคทั้งในโลคัลและโกลบัล สินค้าแต่ละตัวไม่ได้จำกัดว่าปีนี้จะใช้งบประมาณเท่านั้นเท่านี้ในการทำตลาด แต่จะอิงเทรนด์และสภาวะตลาดในช่วงนั้นๆมากกว่า ซึ่งพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนเร็วมาก ดังนั้นต้องมีการเปลี่ยนตามผู้บริโภคให้ทัน”

นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ในการนำมาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกเบื้องต้นอยู่ระหว่างการเจรจากับช่องทางอี-คอมเมิร์ซชั้นนำ (MARKET PLACE) ซึ่งมีความเป็นไปได้ในทุกรูปแบบโดยคาดว่าจะสามารถสรุปได้ภายในปีนี้ ซึ่งหลายคนอาจมองว่าสินค้าในกลุ่มสแน็กจะเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ถูกนำมาจำหน่ายในช่องทางอี-คอมเมิร์ซ เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีราคาไม่แพงและมีกำไรน้อยเมื่อเทียบกับสินค้ากลุ่มอื่น แต่บริษัทมองว่าเมื่อโลกเข้าสู่ยุคออนไลน์ก็ต้องมีการปรับตัวให้ทันกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย โดยในระดับโกลบัลของบริษัททั้งในจีนและอินเดีย ได้วางจำหน่ายในช่องทางอี-คอมเมิร์ซและประสบความสำเร็จสูง โดยมีการนำโมเดลส่วนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จมาใช้

แบนเนอร์รายการฐานยานยนต์ ล่าสุดได้ใช้งบประมาณราว 50 ล้านบาทในการเปิดตัวแครกเกอร์ริทซ์โฉมใหม่ 3 รสชาติยอดนิยม ได้แก่ รสข้าวสาลี สาหร่ายทะเล และบาร์บีคิว ซึ่งจะเน้นการทำตลาดใน 3 ส่วนหลักได้แก่ 1.การสร้างประสบการณ์แปลกใหม่ในผลิตภัณฑ์ ด้วยการสื่อสารว่า ริทซ์ แครกเกอร์รูปแบบใหม่ เป็นขนมแครกเกอร์ที่รับประทานได้ทุกช่วงเวลา สะดวก อร่อย และเพิ่มสารอาหารที่มีประโยชน์ 2.การเข้าถึงผู้บริโภคทุกช่องทางที่เป็นไปได้ ริทซ์จะใช้ทั้งสื่อออฟไลน์และออนไลน์ ซึ่งรวมถึงโฆษณาโทรทัศน์ และสื่อ ณ จุดจำหน่ายในแคมเปญการสื่อสาร นอกจากนี้เฟซบุ๊กยังจะมีบทบาทสำคัญจากการเป็นช่องทางดิจิตอลหลักที่ช่วยให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายหลักได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 3.กิจกรรมส่งเสริมการทดลองผลิตภัณฑ์ การจัดวางผลิตภัณฑ์ ณ ร้านค้าปลีกที่มองเห็นได้อย่างชัดเจนและโดดเด่น รวมถึงการแจกผลิตภัณฑ์เพื่อให้ผู้บริโภคได้มีโอกาสลิ้มลอง ณ ร้านค้าที่ร่วมรายการทั่วประเทศ

อย่างไรก็ตามบริษัทวางเป้าหมายการเติบโตในสิ้นปีนี้ไว้ที่ 5-10% จากสินค้า 5 เซ็กเมนต์ได้แก่ หมากฝรั่ง ลูกอม บิสกิต ช็อกโกแลต และชีส รวมทั้งสิ้น 11 แบรนด์ แบ่งเป็นกลุ่มหมากฝรั่งและลูกอม 70% และกลุ่มบิสกิต ช็อกโกแลต และชีส 20-30% ขณะที่ภาพรวมตลาดสแน็กเมืองไทยคาดว่าจะเติบโต 3-5% และมีมูลค่ากว่า 3.5 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น บิสกิต 1.3 หมื่นล้านบาท ลูกอม 1 หมื่นล้านบาท ช็อกโกแลต 6,000 ล้านบาท หมากฝรั่ง 3,000-4,000 ล้านบาท และอื่นๆ อีกราว 3,000 ล้านบาท

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,347 วันที่ 11 - 14 มีนาคม พ.ศ. 2561
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว