จากงาน “10 ปีหมู่บ้าน เกษตรสันติราษฎร์” และ “พิธีมอบกรรมสิทธิ์บ้านพร้อมที่ดินให้แก่ข้าราชการตำรวจ โครงการหมู่บ้านเกษตรสันติราษฎร์” ที่เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือซีพี พลิกแผ่นดินแห้งแล้ง 230 ไร่ ต.นาวังหิน อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี ให้เป็นพื้นที่ทำกิน สร้างบ้าน พร้อม 4 ธุรกิจเกษตร “การปลูกผัก การเพาะเลี้ยงกบ การเลี้ยงไก่พื้นเมือง และการเลี้ยงสุกร” ให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่ 31 ครอบครัวตำรวจจากสถานีตำรวจภูธรเกาะจันทร์ จ.ชลบุรี คือ หนึ่งในความภาคภูมิใจ ของ “ธนินท์ เจียรวนนท์” ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ ที่สามารถนำวิชาชีพทางการเกษตรของซีพี ส่งมอบต่อให้กับนายตำรวจผู้น้อย ให้มีอาชีพทำกินสร้างรายได้แบบยั่งยืนให้ครอบครัว
[caption id="attachment_248769" align="aligncenter" width="503"]
“ธนินท์ เจียรวนนท์” มอบกรรมสิทธิ์บ้านพร้อมที่ดินให้แก่ข้าราชการตำรวจ 31 ครอบครัว โครงการหมู่บ้านเกษตรสันติราษฎร์[/caption]
“เจ้าสัวธนินท์” ได้พูดถึงโครงการนี้ว่า โครงการเกษตรสันติราษฎร์ เกิดจากการที่เล็งเห็นปัญหาของตำรวจผู้น้อย ที่เงินเดือนไม่พอเลี้ยงครอบครัว พอเกษียณก็ยังเดือดร้อนในบั้นปลายชีวิต เจ้าสัวจึงคิดว่าต้องทำโครงการที่เป็นตัวอย่างให้ผู้ใหญ่ในแวดวงตำรวจได้รับรู้ เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว โครงการนี้จึงเกิดขึ้น ด้วยการซื้อที่ดินที่ ต.นาวังหิน ไร่ละ 7 หมื่นบาท กว่า 200 ไร่ จัดสรรให้กับนายตำรวจ เครือซีพีได้ร่วมมือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สถานีตำรวจภูธรเกาะจันทร์ จ.ชลบุรี และธนาคารทหารไทย เมื่อปี 2549 คัดเลือกข้าราชการตำรวจชั้นผู้น้อย 31 ครอบครัว เข้าร่วมโครงการ
โครงการนี้ทำให้ตำรวจได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ด้วยพื้นที่บ้าน 1 ไร่ครึ่ง และยังมีธุรกิจเกษตรเป็นรากฐานในการเสริมรายได้ เพิ่มจากเงินเดือนประจำให้ข้าราชการตำรวจ โครงการหมู่บ้านเกษตรสันติราษฎร์สามารถปลดหนี้จำนวน 56.3 ล้านบาทที่กู้มาเริ่มต้นได้สำเร็จ ซีพีจึงจัดมอบกรรมสิทธิ์บ้านพร้อมที่ดินให้ ส่วน 4 ธุรกิจเกษตร คือ การปลูกผัก การเพาะเลี้ยงกบ การเลี้ยงไก่พื้นเมือง และการเลี้ยงสุกร อยู่ภายใต้การดูแลของบริษัทเกษตรสันติราษฎร์ ที่จัดสรรให้กับ 31 ครอบครัวเท่าๆ กัน โดยแบ่งรายได้ต่อเดือนต่อครอบครัว จากการเลี้ยงสุกร 4,700 บาท การปลูกใบกระเพรา 18,000 บาท และการเลี้ยงกบ 4,000 บาท
“เกษตรกร ขาด 3 อย่าง คือ ทุน เทคโนโลยี ความรู้ และตลาด เครือซีพีมีสิ่งเหล่านี้ ก็นำเข้าไปช่วย เมื่อทำสำเร็จแล้ว ก็ให้คนมาเรียนรู้ ก็ทำตามความสามารถเขา ซีพีเก่งเรื่องเกษตรก็ทำเกษตร...ผมบอกกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้ท่านไปหามาอีก 10 โรงพักที่เหมาะสม ผมจะไปทำให้ ทำให้เกิดความยั่งยืน ที่เรียกว่ายั่งยืน คือ ต้องกู้เงินและจ่ายดอกเบี้ยได้ คืนเงินต้นได้ และยังมีกำไร โมเดลนี้ ไปทำกับที่อื่นก็ได้ แต่ต้องมีเจ้าภาพ”
แน่นอนว่าโครงการนี้ เครือซีพีเองได้ประโยชน์ ได้ผลตอบแทนทางธุรกิจ แต่เกษตรกรก็ต้องมีรายได้ มีความรู้เลี้ยงชีพเช่นกัน
“เจ้าสัวธนินท์” ยังมีแนวคิดในการต่อยอดความรู้และเทคโนโลยีที่เครือซีพีมี โดยเฉพาะทางการเกษตร ซึ่งซีพีมองเห็นโอกาสจากตลาดโลก และเห็นศักยภาพของประเทศและคนไทยที่มีความสามารถ...สิ่งที่เจ้าสัวพูดถึง และกำลังศึกษา คือ การปลูกพืชที่มีน้อย แต่สร้างกำไรเยอะ อาทิ มะพร้าว ทุเรียน ยาง ด้วยการหาพื้นที่ปลูกที่เหมาะสม นำการตลาด
เข้าไปเติมเต็ม พร้อมเสริมความแกร่งด้วยองค์ความรู้ อีกหนึ่งโครงการที่เจ้าสัวซีพีทดลองทำแล้วคือ การมอบองค์ความรู้เรื่องการกรีดยาง การรักษาคุณภาพยาง และการทำแพ็กเกจจิ้งที่ดีให้กับเกษตรกร 2 ครอบครัว ที่ภูเรือ จังหวัดเลย...30 ตารางกิโลเมตร ผมจะสร้างโรงงานยางแท่ง 1 โรงงาน แล้วจะมีผู้เชี่ยวชาญไปสอนกรีดยาง รักษาคุณภาพยางอย่างไร มีผลิตเป็นกระป๋องพลาสติก มีฝาด้วย เป็นที่ของเกษตรกร 2 ครอบครัว เขาสามารถเลี้ยงตัวเองได้ ไม่ต้องขนส่งไกล ไม่ผ่านคนกลาง และมีความรู้ในการปลูกยาง
อีกเรื่องที่ “เจ้าสัวธนินท์” กำลังศึกษา คือ การศึกษาความหนาแน่นของคนในเมือง อาทิ นครราชสีมา และเชียงใหม่ ดูว่าเมืองใหญ่ขนาดไหน มีประชากรขนาดไหน ร้านค้าจึงจะอยู่ได้ มีคน เข้ามาใช้บริการ เพราะหากจะทำธุรกิจ ทำมาค้าขาย คนน้อยไปก็อยู่ ไม่ได้ สาเหตุที่ต้องศึกษา เพราะขณะนี้เมืองกำลังขยายออกไป จากระบบขนส่งและสาธารณูปโภคใหม่ๆ ที่รัฐบาลกำลังผลักดันให้เกิด
โมเดลในการผลักดันเกษตรกรรมของเจ้าสัวซีพีอีกอย่างคือ การให้เครือซีพีเข้าไปเช่าพื้นที่ทำเกษตรกรรม โดยเกษตรกรยังคงเป็นเจ้าของที่ดิน มีการการันตีรายได้ ซึ่งโมเดลลักษณะนี้ ซีพีทำแล้วที่ประเทศจีนและสำเร็จแล้ว หากโมเดลแบบนี้เกิดขึ้นในเมืองไทย เกษตรกรจะเข้ามาอยู่ในเมืองมากขึ้น เกษตรกรสามารถมีรายได้ ทั้งจากการให้เช่าพื้นที่ และหากตัวเองขยันก็สามารถทำอย่างอื่น สร้างเป็นรายได้เพิ่มเติมได้อีก
แนวคิด และโมเดลต่างๆ ในการเกื้อหนุนสังคมและชุมชน เป็น สิ่งที่เจ้าสัวบอกว่า พูดอย่างเดียวไม่ได้ ต้องทำให้เห็น...ผมเชื่อมั่นว่า สินค้าเกษตรของไทยดี อะไรที่เมืองไทยปลูกได้ จะหอม และอร่อย กว่าที่อื่น ซึ่งนั่นคือ ที่ต้องการของตลาด ที่จะสร้างรายได้ และสร้างความยั่งยืนให้กับคนไทยต่อไป
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,330 วันที่ 11 - 13 มกราคม พ.ศ. 2561