มาม่ารับกำลังซื้อขายหมื่นล. ลุยสินค้าพรีเมียม-สุขภาพ
มาม่า เตรียมงบ 60 ล้าน วิจัยและพัฒนาสินค้าใหม่ จับเทรนด์ตลาดคนรักสุขภาพและต้องการสินค้าพรีเมียม หวังผลประกอบการโต 10% จากปี 60 ที่ทำยอดขายได้กว่า 1 หมื่นล้าน
นายพิพัฒ พะเนียงเวทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาทิ แบรนด์มาม่า เปิดเผยว่า ในปี 2561 ได้เตรียมงบวิจัยและพัฒนาสินค้าใหม่ไว้ 60 ล้านบาท หรือประมาณ 0.5% ของยอดขาย ในการพัฒนาสินค้าใหม่ออกสู่ตลาด ซึ่งแนวโน้มการพัฒนาสินค้าใหม่ จะมุ่งกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพและสินค้ากลุ่มพรีเมียม เนื่องจากเป็นไปตามทิศทางของตลาด ที่ผู้บริโภคปัจจุบันให้ความสนใจดูแลสุขภาพของตนเอง และการที่ผู้บริโภคมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น
[caption id="attachment_246765" align="aligncenter" width="503"]
พิพัฒ พะเนียงเวทย์[/caption]
นอกจากนี้ ยังพบว่าตลาดสินค้าพรีเมียมยังมีทิศทางเติบโตที่ดีกว่าตลาดสินค้าธรรมดา ซึ่งสินค้าพรีเมียมมีอัตราการเติบโตถึง 10% ขณะที่สินค้าธรรมดาเติบโตด้วยเลขตัวเดียว ส่วนภาพรวมตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในปี 2560 ที่ผ่านมาตลาดเติบโตประมาณ 5% จากช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาตลาดไม่เติบโต และในอดีตตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเคยเติบโตถึง 20% ปัจจุบันกลุ่มสินค้าพรีเมียมมีสัดส่วนอยู่ในตลาดประมาณ 10%
“การเติบโตของบริษัทจะมาจากกลุ่มสินค้าพรีเมียม เพราะสามารถปรับราคาสูงขึ้นได้จากวัตถุดิบที่ดีขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์จากข้าว เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก ที่ปัจจุบันกำลังการผลิตเต็ม ในช่วงปลายปีจะมีการเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นอีก 3-4 เท่าตัว ด้วยงบประมาณ 200 ล้านบาท ส่วนสินค้าใหม่ขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาที่เตรียมออกวางตลาด จากปี 2560 มีสินค้าใหม่ออกมาทำตลาด 3 รายการ และจากการเข้าสู่ยุคดิจิตอล บริษัทยังเตรียมนำเอาหุ่นยนต์ เข้ามาช่วยในเรื่องการผลิตสินค้าด้วย”
ส่วนผลประกอบการในปี 2561 คาดว่าจะเติบโตในอัตรา 10% จากปี 2560 ที่น่าจะเติบโต 5% ด้วยมูลค่ายอดขายกว่า 1.06 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากตลาดในประเทศ 7,914 ล้านบาท และตลาดต่างประเทศ 2,700 ล้านบาท
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,328 วันที่ 4 - 6 มกราคม พ.ศ. 2561
นายพิพัฒ พะเนียงเวทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาทิ แบรนด์มาม่า เปิดเผยว่า ในปี 2561 ได้เตรียมงบวิจัยและพัฒนาสินค้าใหม่ไว้ 60 ล้านบาท หรือประมาณ 0.5% ของยอดขาย ในการพัฒนาสินค้าใหม่ออกสู่ตลาด ซึ่งแนวโน้มการพัฒนาสินค้าใหม่ จะมุ่งกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพและสินค้ากลุ่มพรีเมียม เนื่องจากเป็นไปตามทิศทางของตลาด ที่ผู้บริโภคปัจจุบันให้ความสนใจดูแลสุขภาพของตนเอง และการที่ผู้บริโภคมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น
[caption id="attachment_246765" align="aligncenter" width="503"]
นอกจากนี้ ยังพบว่าตลาดสินค้าพรีเมียมยังมีทิศทางเติบโตที่ดีกว่าตลาดสินค้าธรรมดา ซึ่งสินค้าพรีเมียมมีอัตราการเติบโตถึง 10% ขณะที่สินค้าธรรมดาเติบโตด้วยเลขตัวเดียว ส่วนภาพรวมตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในปี 2560 ที่ผ่านมาตลาดเติบโตประมาณ 5% จากช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาตลาดไม่เติบโต และในอดีตตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเคยเติบโตถึง 20% ปัจจุบันกลุ่มสินค้าพรีเมียมมีสัดส่วนอยู่ในตลาดประมาณ 10%
“การเติบโตของบริษัทจะมาจากกลุ่มสินค้าพรีเมียม เพราะสามารถปรับราคาสูงขึ้นได้จากวัตถุดิบที่ดีขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์จากข้าว เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก ที่ปัจจุบันกำลังการผลิตเต็ม ในช่วงปลายปีจะมีการเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นอีก 3-4 เท่าตัว ด้วยงบประมาณ 200 ล้านบาท ส่วนสินค้าใหม่ขณะนี้อยู่ระหว่างการพัฒนาที่เตรียมออกวางตลาด จากปี 2560 มีสินค้าใหม่ออกมาทำตลาด 3 รายการ และจากการเข้าสู่ยุคดิจิตอล บริษัทยังเตรียมนำเอาหุ่นยนต์ เข้ามาช่วยในเรื่องการผลิตสินค้าด้วย”
ส่วนผลประกอบการในปี 2561 คาดว่าจะเติบโตในอัตรา 10% จากปี 2560 ที่น่าจะเติบโต 5% ด้วยมูลค่ายอดขายกว่า 1.06 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากตลาดในประเทศ 7,914 ล้านบาท และตลาดต่างประเทศ 2,700 ล้านบาท
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,328 วันที่ 4 - 6 มกราคม พ.ศ. 2561
