สำรวจ เอสยูวีหรู คันไหนคู่ควรครอบครอง

25 พ.ย. 2560 | 09:04 น.
ตลาดเอสยูวีหรูยังคึกคักต่อเนื่อง หลายค่ายเสริมโปรดักต์ครบทุกไลน์อัพตามศักยภาพของบริษัทแม่ เรียกว่าในระดับโลกมีรุ่นไหนขายเมืองไทยต้องไม่พลาด ส่วนจะเป็นขุมพลังหรือออพชันอย่างไร ต้องมาพิจารณากันอีกครั้ง

ขณะที่เอสยูวีระดับราคา 3-4 ล้านบาทยังแข่งขันกันสนุก นำโดย “เมอร์เซเดส-เบนซ์” หลังจากที่ผ่านมาไม่เคยขายรถเซ็กเมนต์นี้ในยุคที่ใช้ชื่อ “จีแอลเค” แต่เมื่อถึงคราวโมเดลเชนจ์เป็น “จีแอลซี” ก็เพิ่มไลน์เข้ามาทั้งตัวถังปกติและคูเป้ ที่ทำคัญยังเป็นการประกอบในประเทศเสียด้วย

โดย “จีแอลซี” รุ่นประกอบในประเทศ ตัวถังปกติเปิดตัวกลางปี2559 ส่วน เวอร์ชันคูเป้ตามหลังกันมาอีกหนึ่งปี ด้วย mp33-3316-a การใช้พื้นฐานวิศวกรรม และวางเครื่องยนต์ดีเซล 2.1 ลิตร ประกบเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีดชุดเดียวกัน ทว่ารุ่นเริ่มต้นของ GLC 250d 4MATIC Off Road ราคา 3.24 ล้านบาท ถูกกว่าตัวถังคูเป้ถึง 7.5 แสนบาท

ฝั่งคู่แข่งระดับเดียวกัน “บีเอ็มดับเบิลยู” เพิ่งเผยโฉม “เอ็กซ์3 โมเดลเชนจ์” แต่ช่วงนี้ยังเสียเปรียบด้านราคา เพราะเป็นการนำเข้าทั้งคัน ส่วนรุ่นประกอบในประเทศที่ราคาย่อมเยาลงมาคงต้องรอปีหน้า

สำหรับ “เอ็กซ์3” เจเนอเรชันที่ 3 ถูกพัฒนาในเชิงวิศวกรรมโครงสร้างด้วยการเพิ่มอะลูมิเนียมมาเป็นวัสดุในการขึ้นรูปตัวถังและเครื่องยนต์ พร้อมการกระจายน้ำหนักลงเพลาหน้า-หลังสมดุล 50:50

ฟังก์ชันที่โดดเด่นคือระบบควบคุม iDrive ด้วยระบบสัมผัสและจอแสดงผลความละเอียดสูงขนาด 10.25 นิ้ว สามารถสั่งงานด้วยการเคลื่อนไหวของมือ gesture control และระบบการสั่งงานด้วยเสียง ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 3 โซน ชุดไฟเพิ่มบรรยากาศในห้องโดยสาร 6 สี หลังคากระจกแบบพาโนรามิก

แบนเนอร์รายการฐานยานยนต์ โดยบีเอ็มดับเบิลยู นำเข้า X3 xDrive20d xLine เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร 190 แรงม้า พร้อมชุดแต่ง xLine กับล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว ขายในราคาสูงกว่าคู่แข่งที่ 3.699 ล้านบาท

อีกค่ายจากเยอรมนี “ออดี้” นำเข้า “คิว 5 โฉมใหม่” มาเปิดตัวช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยสั่งตรงมาจากโรงงานประเทศเม็กซิโก กับ 2 ทางเลือกเครื่องยนต์คือ ดีเซล 2.0 ลิตร 190 แรงม้า และเบนซิน 2.0 ลิตร 252 แรงม้า ราคา 3.399 ล้านบาท และ 3.899 ล้านบาท ตามลำดับ

โดย “ออดี้ คิว5” เจเนอเรชันที่2 ขยายตัวถังให้ใหญ่กว่ารุ่นเดิม แต่น้ำหนักเบาลง 90 กิโลกรัม โดดเด่นตามสมัยนิยมด้วยการใช้หลอด LED ทั้งไฟใหญ่และไฟขับขี่กลางวัน ออพชันความปลอดภัยจัดเต็มด้วย ระบบช่วยเหลือการขับขี่ขณะลงทางลาดชัน ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ถุงลมนิรภัยด้านข้างและม่านถุงลมนิรภัยด้านข้าง ในรุ่นเครื่องยนต์เบนซินมาพร้อมเครื่องเสียงพรีเมียม Bang & Olufsen

ส่วน “วอลโว่” จากสวีเดนที่ประกาศว่าจากนี้ไปไม่ว่าจะเป็นโมเดลนำเข้าจากยุโรปหรือประกอบที่โรงงานมาเลเซีย จะใช้ราคาเดียวกันตั้งแต่การเปิดตัวรถครั้งแรก

ล่าสุดเริ่มใช้แผนนี้กับ “เอ็กซ์ซี60 โฉมใหม่” นำเข้ามาจากโรงงานทอร์สลานดา เมืองโกเตเบิร์ก ประเทศสวีเดน มีให้เลือก2 ขุมพลังคือดีเซล และปลั๊ก-อินไฮบริด

บาร์ไลน์ฐาน โดยรุ่นแรกเป็นดีเซล D4 ขนาด 2.0 ลิตร 190 แรงม้า ราคา 3.09 ล้านบาท ส่วนรุ่นไฮบริด T8 Twin Engine AWD ใช้เครื่องยนต์เบนซินที่ผสานการทำงานของเทอร์โบและซูเปอร์ชาร์จ เพื่อขับเคลื่อนล้อหน้า ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนล้อหลัง เมื่อรวม 2 พลังจะให้กำลังสูงสุด 407 แรงม้า แบ่งขาย 2 รุ่นย่อย R-Design 3.59 ล้านบาทและ Momentum 3.29 ล้านบาท

ส่วนระบบความปลอดภัยที่พัฒนาเป็นเจเนอเรชันใหม่ City Safety ช่วยหลีกเลี่ยงการชนรถยนต์ ผู้ใช้รถใช้ถนน และสัตว์ขนาดใหญ่ เสริมระบบSteer Assist จะช่วยบังคับหักเลี้ยวหลบทำงานที่ความเร็วระหว่าง 50-100 กม./ชม. และระบบ Oncoming Lane Mitigation ซึ่งจะช่วยในการบังคับพวงมาลัยเพื่อหักหลบรถที่กำลังวิ่งสวนมาทางด้านหน้า

ด้าน “เลกซัส” ในเครือโตโยต้ามีเบบี้เอสยูวีอย่าง “เอ็นเอ็กซ์” ที่เพิ่งไมเนอร์เชนจ์สู่ตลาดไทยเช่นกัน ด้วยการออกแบบกระจังหน้าใหม่ รายละเอียดภายในโคมไฟหน้า LED 3-Eye Projector-Type พร้อมไฟเลี้ยวใหม่แบบSequential Turning Lamps เลกซัส เอ็นเอ็กซ์ มีสองขุมพลังคือ NX300 เบนซิน 2.0 ลิตร ราคา 3.44 ล้านบาท และ 4.45 ล้านบาท ส่วน NX300hไฮบริดที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้าราคา 2.93-4.05 ล้านบาท

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,316 วันที่ 23 - 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
ดาวน์โหลดอีบุ๊กแทรกข่าว-9-1