ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดเฟดคงอัตราดอกเบี้ย’ที่ 1.00-1.25% ขณะที่ตลาดการเงินจับตาการเสนอชื่อประธานเฟดคนใหม่

30 ต.ค. 2560 | 09:17 น.
ประชุมเฟดรอบ 31 ต.ค.- 1 พ.ย. 60  ... คาดเฟด ‘คงอัตราดอกเบี้ย’ ที่ 1.00-1.25%  ขณะที่ตลาดการเงินยังคงจับตาการเสนอชื่อประธานเฟดคนใหม่ รวมทั้ง มาตรการปฏิรูปภาษีสหรัฐฯ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.00-1.25% ต่อเนื่องในการประชุมรอบเจ็ดของปี 2560 ในวันที่ 31 ต.ค.- 1 พ.ย. 2560 ทั้งนี้ แม้ว่าในการประชุมเฟดในครั้งนี้ เฟดยังไม่น่าจะมีการส่งสัญญาณเปลี่ยนแปลงท่าทีในการดำเนินนโยบายการเงินอย่างมีนัยสำคัญ โดยประเด็นที่ตลาดติดตามคงจะเป็นการส่งสัญญาณของเฟดในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมรอบสุดท้ายของปีนี้ การสรรหาประธานเฟดคนใหม่ทดแทนตำแหน่งของนางเจเน็ต เยลเลน ที่จะครบวาระในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 รวมทั้ง คณะกรรมการบริหาร (Board of Governors) อีก 3 ที่นั่ง ตลอดจน ประเด็นมาตรการปฏิรูปภาษี ที่อาจมีผลต่อจังหวะให้การดำเนินนโยบายการเงินของเฟดเพื่อเข้าสู่ภาวะปกติในระยะต่อไป

เฟดน่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.00-1.25% ในการประชุมครั้งนี้ เพื่อรักษาระดับนโยบายการเงินผ่อนคลายอีกระยะ และหลีกเลี่ยงในการดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัวในระดับที่มากเกินไป เพื่อป้องกันปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะเข้ามากระทบการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ทั้งนี้ พัฒนาการของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงสนับสนุนเส้นทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดอย่างต่อเนื่อง โดยดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ดัชนี PMI ภาคการผลิตของสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในระดับใกล้ 60 อันบ่งชี้ถึงมุมมองเชิงบวกอย่างมากต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป ขณะที่การบริโภคสินค้าคงทนยังขยายตัวได้ดีแม้ว่าจะเผชิญกับพายุเฮอริเคนบ่งชี้ถึงภาคการบริโภคที่ยังคงแข็งแกร่ง ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวน่าจะช่วยหนุนให้เฟดสามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้อีกครั้งในการประชุมครั้งสุดท้ายของปีนี้

อย่างไรก็ตามประเด็นที่ต้องติดตาม ที่อาจจะส่งผลต่อแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้รวบรวมประเด็นที่น่าสนใจที่ต้องติดตามดังนี้

oการเสนอชื่อประธานเฟดคนใหม่ทดแทนตำแหน่งของนาง เจเน็ต เยลเลน ที่จะครบวาระในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 รวมทั้ง การแต่งตั้งคณะกรรมการบริหาร (Board of Governors) อีก 3 ที่นั่ง หลังจากที่วุฒิสภารับรองการเสนอชื่อ นาย Randal Quarles ซึ่งมีมุมมองสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะข้างหน้าเป็นรองประธานตรวจสอบสถาบันการเงิน ทั้งนี้ ปัจจัยที่ตลาดการเงินสนใจคงจะเป็นการเสนอชื่อประธานเฟด ซึ่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเป็นผู้เสนอรายชื่อเพื่อให้สมาชิกวุฒิสภาลงมติเห็นชอบต่อไป ทั้งนี้ ท่ามกลางกระแสคัดค้านจากสมาชิกพรรครีพับลิกันต่อการดำรงตำแหน่งประธานเฟดสมัยที่ 2 ของนางเยลเลน อาจส่งผลให้ประธานาธิบดีทรัมป์ เสนอรายชื่อบุคคลอื่นเพื่อดำรงตำแหน่งประธานเฟดคนต่อไป อันอาจจะส่งผลต่อการดำเนินนโยบายการเงินของสหรัฐฯ โดยเฉพาะหากประธานเฟดคนใหม่มีมุมมองสนับสนุนการใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัว อาจส่งผลให้จังหวะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ เร่งตัวขึ้นได้ ทั้งนี้ หากพิจารณารายชื่อของผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่งประธานเฟดคนใหม่พบว่า 2 ใน 4 รายชื่อนั้นมีมุมมองสนับสนุนนโยบายการเงินที่ตึงตัว ได้แก่ นายเควิน วอร์ช (Kevin Warsh) และนายจอห์น เทย์เลอร์ (John Taylor) ขณะที่ผู้สนับสนุนการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ได้แก่ นายเจอโรม โพเวล (Jerome Powell) ปัจจุบันเป็นผู้ว่าการเฟด และนายแกรี่ โคห์น (Gary Cohn) ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล ทั้งนี้ หากนายโพเวล ได้รับการเสนอชื่อเป็นประธานเฟดคนใหม่ ไม่น่าจะส่งผลให้คาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนแปลงมากนัก ขณะที่หากนายเทย์เลอร์ หรือนายวอร์ช ได้รับการแต่งตั้งอาจจะส่งผลต่อจังหวะที่เร่งขึ้นของการดำเนินนโยบายการเงินในการปรับเข้าสู่ภาวะสมดุล

เปรียบเทียบมุมมองนโยบายการเงินและการกำกับสถาบันการเงินของผู้ชิงตำแหน่งประธานเฟด kb1030.-1 oหากมาตรการปฏิรูปภาษีของสหรัฐฯ ผ่านสภาคองเกรสจะเป็นแรงกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปีหน้า ทั้งนี้ สภาคองเกรสได้ผ่านร่างผ่านกรอบกฎหมายงบประมาณ (Budget Resolution) ประจำปี 2561 มูลค่า 4 ล้านล้านดอลลาร์ฯ อันเป็นสัญญาณเชิงบวกทางการเมืองที่เปิดโอกาสให้การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านมาตรการปรับลดภาษีน่าจะผ่านการเห็นชอบจากสภาคองเกรสในช่วงต้นปี 2561 ก่อนที่จะถึงช่วงการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯในเดือนพฤศจิกายน 2561 ทั้งนี้ มาตรการทางภาษีจะช่วยกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และส่งผลต่อเงินเฟ้อให้ปรับเข้าใกล้กรอบเป้าหมายของเฟดที่ 2.0% ซึ่งอาจจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อจังหวะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปีหน้า

โดยสรุป ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า เฟดจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 31 ต.ค.- 1 พ.ย. 2560 ไว้ที่ระดับ 1.00-1.25% เพื่อทิ้งจังหวะของการปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินให้กลับสู่ภาวะปกติ รวมทั้ง เป็นการชะลอไม่ให้เกิดภาวะที่ตลาดการเงินปรับตึงตัวมากจนส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ท่ามกลางแรงกดดันเงินเฟ้อในปัจจุบันยังมีไม่มาก ทั้งนี้ พัฒนาการการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งคงสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 1 ครั้งในการประชุมเดือนธันวาคม 2560 ตามที่เฟดได้มีการส่งสัญญาณไว้ อย่างไรก็ดี จุดสนใจของตลาดการเงินอาจมุ่งไปที่การแต่งตั้งประธานเฟดคนใหม่ รวมทั้ง โอกาสที่ปฏิรูปภาษีของสหรัฐฯ อาจจะได้รับความเห็นชอบจากสภาคองเกรส ซึ่งอาจจะมีนัยต่อจังหวะการดำเนินนโยบายการเงินในระยะข้างหน้า

สำหรับผลต่อประเทศไทย การส่งสัญญาณถึงเส้นทางในการดำเนินนโยบายการเงินที่เป็นปกติมากขึ้นของเฟด คงส่งผลให้การปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และคงส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์ฯ กลับมาแข็งค่า ซึ่งเป็นการช่วยลดแรงกดดันการแข็งค่าของเงินบาทได้บางส่วน อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยที่ขยายตัวเร่งขึ้นมายังเป็นไปในลักษณะกระจายตัวยังไม่ทั่วถึง อาจจะส่งผลให้คณะกรรมการนโยบายการเงินของไทยเลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องที่ระดับ 1.50% เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงต่อการไหลออกของเงินทุนของไทยยังคงจำกัด จากพื้นฐานเศรษฐกิจภายนอกที่มีความแข็งแกร่ง

ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย e-book