พระอัจฉริยะภาพ ร.๙ รับสั่งผู้บริหารแบงก์กรุงเทพ ใช้ไอทีในกิจการธนาคาร
ชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวถึงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอย่างหาที่สุดมิได้ ที่มีต่อ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 เมื่อครั้งที่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ครั้งแรกในฐานะกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ เมื่อต้นปี 2540
“ครั้งนั้น พระองค์มีพระราชกระแสรับสั่งถามผมหลายๆ เรื่อง ทั้งเรื่องการปฏิบัติงานในฐานะกรรมการผู้จัดการใหญ่ของธนาคารกรุงเทพ การนำเทคโนโลยีมาใช้ในกิจการธนาคาร รวมถึงสภาพเศรษฐกิจของประเทศไทย ณ เวลานั้น ตลอดจนสภาพการแข่งขันกับประเทศต่างๆ ซึ่งผมได้กราบบังคมทูลตามข้อมูลที่ธนาคารได้ศึกษาและรวบรวมไว้ขณะนั้น”
ในวันนั้น ผมได้เห็นพระราชจริยวัตรของพระองค์ที่ทรงใฝ่หาความรู้อยู่เสมอ ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ดีที่ผมได้น้อมนำมายึดถือปฏิบัติเช่นกัน แต่เหนือสิ่งอื่นใด พระราชกระแสรับสั่งถามในครั้งนั้น ส่วนใหญ่เป็นคำถามที่มีนัยสำคัญต่อประเทศชาติและประชาชนทั้งสิ้น สะท้อนให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า พระองค์ทรงคำนึงถึงประเทศชาติและประชาชนอยู่ตลอดเวลา
นอกจากพระราชจริยวัตรที่งดงาม และพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์มีต่อชาวไทยแล้ว พระองค์ยังได้พระราชทานแนวคิดและคำสอนที่มากคุณค่าให้พวกเราได้นำมาปรับใช้เพื่อการดำเนินชีวิตและการทำงานได้มากมาย มี 2 เรื่องที่ผมยึดถือมาตลอด เรื่องแรกก็คือ “ความสามัคคี”
พระองค์ได้พระราชทานพระบรมราโชวาท และพระราชดำรัสเกี่ยวกับ “ความสามัคคี” อยู่ในหลายวาระ แม้จะผ่านมาหลายสิบปีแต่ก็ยังทันสมัยอยู่เสมอ และเป็นหนึ่งในค่านิยมประจำองค์กรของเรา โดยเราเน้นการทำงานร่วมกันแบบทีมเวิร์ก มีความเป็นนํ้าหนึ่งใจเดียวกัน นับเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธนาคารเจริญก้าวหน้ามาอย่างต่อเนื่อง
อีกเรื่องหนึ่งก็คือ “ความวิริยอุตสาหะ” หรือการมุ่งมั่นเพื่อความสำเร็จ นอกจากการพระราชทานแนวคิดในเรื่องนี้แล้ว ยังมีพระราชนิพนธ์เรื่อง พระมหาชนก ที่สอดแทรกข้อคิดเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจน ที่สำคัญที่สุด พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างในข้อนี้ด้วยพระองค์เอง ดังเห็นได้จากโครงการพระราชดำริต่างๆ กว่า 4,000 โครงการ ที่สะท้อนถึงพระวิริยอุตสาหะยิ่งเพื่อยังประโยชน์สุขให้แก่พสกนิกรของพระองค์
“เรื่องความสามัคคี และความวิริยอุตสาหะนี้ เป็นสิ่งที่ผมและองค์กรของเรายึดถือปฏิบัติมาโดยตลอด ทั้งในยามปกติ และยามวิกฤติ เราจะร่วมกันระดมความคิดและลงมือทำคนละไม้คนละมือจนประสบความสำเร็จ ซึ่งไม่ใช่เรื่องยาก เพราะเรามี “ต้นแบบ” ที่ทรงปฏิบัติในข้อนี้ให้เห็นอย่างชัดเจนที่สุดแล้ว”
น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้.
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,307 วันที่ 22 - 25 ตุลาคม พ.ศ. 2560
“ครั้งนั้น พระองค์มีพระราชกระแสรับสั่งถามผมหลายๆ เรื่อง ทั้งเรื่องการปฏิบัติงานในฐานะกรรมการผู้จัดการใหญ่ของธนาคารกรุงเทพ การนำเทคโนโลยีมาใช้ในกิจการธนาคาร รวมถึงสภาพเศรษฐกิจของประเทศไทย ณ เวลานั้น ตลอดจนสภาพการแข่งขันกับประเทศต่างๆ ซึ่งผมได้กราบบังคมทูลตามข้อมูลที่ธนาคารได้ศึกษาและรวบรวมไว้ขณะนั้น”
นอกจากพระราชจริยวัตรที่งดงาม และพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์มีต่อชาวไทยแล้ว พระองค์ยังได้พระราชทานแนวคิดและคำสอนที่มากคุณค่าให้พวกเราได้นำมาปรับใช้เพื่อการดำเนินชีวิตและการทำงานได้มากมาย มี 2 เรื่องที่ผมยึดถือมาตลอด เรื่องแรกก็คือ “ความสามัคคี”
พระองค์ได้พระราชทานพระบรมราโชวาท และพระราชดำรัสเกี่ยวกับ “ความสามัคคี” อยู่ในหลายวาระ แม้จะผ่านมาหลายสิบปีแต่ก็ยังทันสมัยอยู่เสมอ และเป็นหนึ่งในค่านิยมประจำองค์กรของเรา โดยเราเน้นการทำงานร่วมกันแบบทีมเวิร์ก มีความเป็นนํ้าหนึ่งใจเดียวกัน นับเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธนาคารเจริญก้าวหน้ามาอย่างต่อเนื่อง
อีกเรื่องหนึ่งก็คือ “ความวิริยอุตสาหะ” หรือการมุ่งมั่นเพื่อความสำเร็จ นอกจากการพระราชทานแนวคิดในเรื่องนี้แล้ว ยังมีพระราชนิพนธ์เรื่อง พระมหาชนก ที่สอดแทรกข้อคิดเรื่องนี้ไว้อย่างชัดเจน ที่สำคัญที่สุด พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างในข้อนี้ด้วยพระองค์เอง ดังเห็นได้จากโครงการพระราชดำริต่างๆ กว่า 4,000 โครงการ ที่สะท้อนถึงพระวิริยอุตสาหะยิ่งเพื่อยังประโยชน์สุขให้แก่พสกนิกรของพระองค์
“เรื่องความสามัคคี และความวิริยอุตสาหะนี้ เป็นสิ่งที่ผมและองค์กรของเรายึดถือปฏิบัติมาโดยตลอด ทั้งในยามปกติ และยามวิกฤติ เราจะร่วมกันระดมความคิดและลงมือทำคนละไม้คนละมือจนประสบความสำเร็จ ซึ่งไม่ใช่เรื่องยาก เพราะเรามี “ต้นแบบ” ที่ทรงปฏิบัติในข้อนี้ให้เห็นอย่างชัดเจนที่สุดแล้ว”
น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้.
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,307 วันที่ 22 - 25 ตุลาคม พ.ศ. 2560
