กองทุนบัวหลวงเดินหน้าปันผลกองทุนเปิดบัวหลวงปัจจัย 4 หุ้นระยะยาวปันผล 22 สตางค์ต่อหน่วยและกองทุนเปิดบัวหลวงสิริผลบรรษัทภิบาล ปันผล 30 สตางค์ต่อหน่วย มูลค่าสองกองรวม 327 ล้านบาท
[caption id="attachment_220708" align="aligncenter" width="336"]
นายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา[/caption]
นายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด (กองทุนบัวหลวง) เปิดเผยว่า ในวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา กองทุนบัวหลวงมีการจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหน่วยกองทุนเพิ่มอีก 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดบัวหลวงปัจจัย 4 หุ้นระยะยาวปันผล (BBASICDLTF) และกองทุนเปิดบัวหลวงสิริผลบรรษัทภิบาล (BSIRICG) เม็ดเงินรวมกันกว่า 327 ล้านบาท
ก่อนหน้านี้ กองทุนบัวหลวงมีการจ่ายไปแล้ว ในเดือนกันยายนและตุลาคม จำนวน 4 กองทุน คิดเป็นเม็ดเงินกว่า 131 ล้านบาท เท่ากับในสองเดือนนี้มีการจ่ายเงินให้ผู้ถือหน่วยแล้วกว่า 458 ล้านบาท
สำหรับการจ่ายครั้งนี้มาจากผลการดำเนินงานสะสม โดย BBASICDLTF จ่ายปันผลในอัตรา 0.22 บาทต่อหน่วยฯ และ BSIRICG ในอัตรา 0.30 บาทต่อหน่วยฯ โดยลูกค้าทั้งสองกองนี้รับเงินวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ผู้ถือหน่วยฯ กองทุน BSIRICG ในปีนี้ได้รับผลตอบแทนต่อเนื่อง โดยได้รับเงินปันผล รวมแล้ว 1.09 บาทต่อหน่วยฯ ขณะที่ BBASICDLTF เป็นการจ่ายปันผลครั้งแรกนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนในปลายปีที่ผ่านมา
นายพีรพงศ์ กล่าวต่อว่า ทั้งสองกองทุนนี้เป็นกองทุนที่ได้รับความนิยมจากผู้ถือหน่วยมาก โดย BSIRICG มีขนาดกองทุนกว่า 5,700 ล้านบาท ทั้งนี้เป็นเพราะการคัดเลือกหุ้นลงทุนที่เน้นหุ้นของบริษัทที่มีบรรษัทภิบาลที่ดี พร้อมๆ กับมีประวัติการจ่ายเงินปันผลที่ดี อีกทั้งกองทุนนี้มีนโยบายจ่ายเงินปันผลด้วย
ข้อมูล ณ วันที่ 29 กันยายนที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานตั้งแต่ต้นปีมาของกองทุนนี้ สามารถให้ผลตอบแทนประมาณ 12.67% ต่อปี
สำหรับกองทุน BBASICDLTF ตั้งกองทุนเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ด้วยขนาดกองทุนกว่า 6 พันล้านบาท ซึ่งนอกจากจะเป็นกองทุน LTF แล้วด้วยนโยบายการลงทุนที่เน้นลงทุนในธุรกิจที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐาน ได้แก่ อาหารที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ซึ่งเป็นธุรกิจที่เติบโตไปกับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น การเติบโตของคนชั้นกลางสังคมผู้สูงอายุ และเศรษฐกิจประเทศไทย ธุรกิจเหล่านี้จะได้ประโยชน์จากปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ และที่สำคัญ ถ้าธุรกิจที่ลงทุน มีการผลิตสินค้าเพื่อส่งออกด้วย ประโยชน์ที่บริษัทนั้นๆ จะได้ ก็จะไม่ใช่เฉพาะในไทย แต่ยังเป็นไปในประเทศที่อื่นๆ ด้วย ซึ่งผลประกอบการก็จะสะท้อนมาในราคาหุ้นที่กองทุนฯ เข้าไปลงทุน