กรมที่ดินชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีชาวบ้าน อ.กระสัง เรียกร้องให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกลุ่มนายทุนบุกรุกครอบครองที่ป่าสาธารณประโยชน์ “ โคกตาเซียม ”
นายประทีป กีรติเรขา อธิบดีกรมที่ดิน ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีชาวบ้าน อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ เรียกร้องให้เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีกลุ่มนายทุนทั้งในและนอกพื้นที่ รวมถึงชาวบ้านเข้าไปบุกรุกครอบครอง ที่ป่าสาธารณประโยชน์ “โคกตาเซียม” ซึ่งเป็นป่าสาธารณะผืนสุดท้ายของ ต.หนองเต็ง มีเนื้อที่กว่า 1,800 ไร่ ถูกนายทุนบุกรุกครอบครองและออกเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก. ทับที่สาธารณประโยชน์ดังกล่าวจำนวน 7 ราย และที่ผ่านมาชาวบ้านเคยร้องเรียนไปยังหน่วยงานของรัฐตั้งแต่ปี 2552 แต่ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ กับกลุ่มผู้บุกรุก ซึ่งจากการตรวจสอบข้อเท็จจริงในขั้นต้นสรุปได้ว่า
[caption id="attachment_197095" align="aligncenter" width="503"]
นายประทีป กีรติเรขา อธิบดีกรมที่ดิน[/caption]
1.กรณีมีผู้ร้องเรียนขอความเป็นธรรมว่ามีผู้บุกรุกที่สาธารณประโยชน์ “โคกตาเซียม” กรมที่ดินได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วปรากฏว่าอำเภอกระสังแจ้งความดำเนินคดีกับผู้บุกรุกจำนวน 2 ราย เมื่อวันที่ 6 ม.ค.2553 และ 15 ต.ค.2553 ตามลำดับ
2.ผู้บุกรุกกับพวกรวม 10 คน ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองนครราชสีมาให้เพิกถอน น.ส.ล. เลขที่ บร 3160 แปลง “โคกตาเซียม” หมู่ที่ 2, 5, 11, 13 ตำบลหนองเต็ง อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยอ้างว่าเป็นการออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งศาลปกครองได้มีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาและให้จำหน่ายคดีออกจาก สารบบความ คดีถึงที่สุดแล้ว ( คดีหมายเลขดำที่2/2554 หมายเลขแดงที่ 58/2554)
3. 0สำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ สาขากระสัง ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงในเบื้องต้นแล้วปรากฏว่ามีการ7ออก น.ส.3 ก. จำนวน 7 แปลง เป็นการออกโดยการเดินสำรวจโดยไม่มีหลักฐาน เมื่อปี พ.ศ.2518 ซึ่งอยู่ในระวางคาบเกี่ยวกับที่สาธารณประโยชน์ “โคกตาเซียม”
4. ที่สาธารณประโยชน์ “โคกตาเซียม” ตั้งอยู่ที่ ต. หนองเต็ง อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ ประกาศเป็นที่สาธารณประโยชน์เมื่อปี 2475 ตามทะเบียนที่สาธารณประโยชน์ ระบุใช้เป็นที่ทำเลเลี้ยงสัตว์ เนื้อที่ประมาณ 2,500 ไร่ โดยได้มีการออก น.ส.ล. เลขที่ บร 3160 ออกให้ ณ วันที่ 19 ธ.ค.2553 เนื้อที่ 1,838 ไร่เศษ
แต่เนื่องจากไม่มีการจัดทำแนวเขตอย่างชัดเจน อำเภอกระสังและเทศบาลตำบลหนองเต็งผู้มีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ตามมาตรา 122 แห่ง พ.ร.บ. ลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.2475 และระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน พ.ศ. 2553 ได้ดำเนินการขอประมาณการค่าใช้จ่ายเพื่อยื่นคำขอรังวัดสอบเขตที่สาธารณประโยชน์แปลงดังกล่าวแล้ว เมื่อปี พ.ศ.2558 ซึ่งกรมที่ดินได้แจ้งประมาณการค่าใช้จ่ายแล้ว โดยหากมีการยื่นคำขอกรมที่ดินจะได้เร่งรัดการดำเนินการโดยเร็ว
5.น.ส.3 ก. ทั้ง 7แปลงตามข้อ 3 ได้มอบหมายให้ผู้ตรวจราชการกรมที่ดินลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าการออกเอกสารสิทธิดังกล่าวทับที่สาธารณประโยชน์หรือไม่ หากตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วปรากฏว่ามีการออก น.ส.3 ก. ทับที่สาธารณประโยชน์ดังกล่าว กรมที่ดินจะได้พิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนดำเนินการตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ต่อไป