พันธมิตรฯเตรียมยื่นหนังสือถึง ป.ป.ช. ชงให้อุทธรณ์คดี 7 ตุลา 51 จันทร์นี้

04 ส.ค. 2560 | 07:49 น.
กลุ่มพันธมิตรฯออกแถลงการณ์ 4 ข้อ ยันเคารพคำพิพากษาศาลฎีกาคดีสลายม็อบ ปี 51 ตั้งคณะทำงานติดตามคดี มอบให้ “วีระ สมความคิด” ยื่น ป.ป.ช.ชงอุทธรณ์จันทร์นี้ แจงคำพิพากษาคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงหลายประการ

นายพิภพ ธงไชย อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นายสุริยะใส กตศิลา อดีตผู้ประสานงานพันธมิตรฯ และนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ อดีตโฆษกพันธมิตรฯ ออกแถลงการณ์หลังการประชุมอดีตแกนนำ และผู้เสียหายจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม 7 ตุลาคม 2551 โดยนายปานเทพได้อ่านแถลงการณ์พันธมิตรฯ ฉบับที่ 1/2560 แสดงจุดยืนต่อกรณีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษายกฟ้องคดีที่คณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และพวกรวม 4 คน กรณีสลายการชุมนุมพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 มีใจความสรุปว่า

1. อดีตแกนนำพันธมิตรฯ ผู้เสียหาย และผู้เกี่ยวข้อง เคารพคำพิพากษาของศาลฯ แต่ไม่เห็นด้วย และเห็นว่าคำพิพากษามีความคลาดเคลื่อนต่อข้อเท็จจริงหลายประการ ควรต้องมีการยื่นอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา รวมทั้งเห็นว่าคำพิพากษาดังกล่าวยังขัดแย้งต่อคำพิพากษาศาลปกครองกลาง มติ ป.ป.ช. คณะกรรมสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่มีคำวินจฉัยแล้วว่า การชุมนุมของพันธมิตรฯ เป็นการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่การสลายการชุมนุมไม่เป็นไปตามหลักสากล มีการใช้อาวุธ ไม่ดำเนินการจากเบาไปหาหนัก ไม่เป็นไปตามหลักสากล มีการใช้ความรุนแรงตั้งแต่เช้าจดค่ำ แม้การประชุมรัฐสภาเสร็จสิ้นแล้ว สมาชิกออกจากรัฐสภาแล้ว ซึ่งทั้งสามองค์กรดังกล่าวได้ชี้ว่าจำเลยมีความผิดฐานปฏิบัติหน้าโดยมิชอบ จงใจกระทำต่อผู้ชุมนุมด้วยการละเมิดต่อผู้ชุมนุม

2. เห็นควรตั้งคณะทำงานติดตามการดำเนินคดีของ ป.ป.ช. สภาทนายความ และทนายความ เพื่อให้การดำเนินการยื่นอุทธรณ์ได้นำเสนอข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ถูกต้องสมบูรณ์ โดยมอบหมายให้นายวีระ สมความคิด เป็นหัวหน้าคณะทำงาน นายประพันธ์ คูณมี และนายสุริยะใส กตะศิลา เป็นคณะทำงาน

3. หากการดำเนินการตามข้อ 1 และ 2 ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมแก่พี่น้องประชาชน ผู้เสียหายและผู้ได้รับผลกระทบ พันธมิตรฯ จะทำทุกช่องทางกฎหมาย ทุกวิถีทาง เพื่อทวงคืนความเป็นธรรมให้พี่น้องประชาชนถึงที่สุด

4. มีมติมอบหมายให้นายวีระ สมความคิด และคณะ ในฐานะผู้ยื่นคำร้องเดิมต่อ ป.ป.ช. ได้เดินทางร่วมกับผู้เสียหาย และพี่น้องประชาชนผู้ห่วงใยต่อการดำเนินคดีนี้ ไปยื่นหนังสือต่อ ป.ป.ช.ในวันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม 2560 เวลา 11.00 น.

206 ด้านนายปานเทพ กล่าวต่อว่า ในคดีนี้ ทนายพันธมิตรฯ ไม่มีโอกาสได้ซักค้านในคดีความนี้เลย เพราะเป็นคดีที่ ป.ป.ช.ยื่นฟ้องโดยผ่านสภาทนายความ ซึ่งก็ได้มอบหมายทนายความที่ไม่ได้มีความคุ้นเคยหรือใกล้ชิดกับทางพันธมิตรฯ โดยตรง ดังนั้นการที่จะมีโอกาสซักค้าน หรือประเด็นข้อสงสัย จึงมีข้อจำกัดอยู่มาก ทั้งความผูกพัน ความเข้าใจ พยานหลักฐานที่มีอยู่ในมือของทนายพันธมิตรฯ ก็ไม่ได้มีโอกาสที่จะสู้ตามขั้นตอนปกติที่ควรจะต้องเป็น เพราะว่าโจทก์ฟ้องคือ ป.ป.ช.เพราะฉะนั้น ข้อสงสัยต่างๆ ที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกันกับคำพิพากษาศาลปกครองกลางก็ดี หรือศาลต่างๆ ที่พิพากษาในพฤติการณ์ของพันธมิตรฯ รวมถึงคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) คำวินิจฉัยของ ป.ป.ช.ความขัดแย้งเหล่านี้เพียงเพราะว่าเราไม่ได้มีโอกาสต่อสู้โต้แย้งในชั้นศาลตามขั้นตอนปกติ จึงต้องไปยื่นหนังสือต่อ ป.ป.ช.ในขณะเดียวกันก็ตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามการดำเนินการของทุกองค์กรที่ดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม ว่าทำด้วยขั้นตอนอย่างไร และมีจุดที่ต้องท้วงติงอย่างไร

ขณะที่นายประพันธ์ คูณมี อดีตแกนนำพันธมิตรฯ กล่าวว่า ตนเคยเป็นทนายในคดีที่อัยการฟ้องแกนนำและผู้ชุมนุมในข้อหาก่อการจราจลวุ่นวายหน้ารัฐสภารวม 21 คน โดยโจทก์ได้นำ ส.ส.ในสภาเป็นพยานมา ซึ่งนายสุชาติ ลายน้ำเงิน อดีต ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย เป็นพยานปากเดียวที่เบิกความในทำนองผู้ชุมนุมตะโกนว่าฆ่ามัน แต่ไม่มีปรากฏในเทปบันทึกเสียงระหว่างการชุมนุม จึงเห็นว่าไม่มีเหตุอะไรที่จะนำมาวินิจฉัยในศาลได้เลยสำหรับคดีนี้ และข้อเท็จจริงก็ไม่มีอยู่ในสำนวน แต่ได้ยินเสียงมาจากตำรวจ เอามันให้ตายอยู่ได้อยู่ไป

ส่วนการตั้งคณะทำงานขึ้่นมานั้นเพราะไม่แน่ใจว่าข้อเท็จจริงในคดีนี้ได้นำเสนอศาลครบถ้วนหรือไม่ ซึ่งข้อเท็จจริงค่อนข้างจะมีรายละเอียดหลักฐานที่สมบูรณ์ที่สุดในทางคดีอาญา ทั้งภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว จำนวนอาวุธ และวัตถุระเบิดที่เจ้าหน้าที่ได้นำมาใช้ และความเห็นของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับวัตถุระเบิด ค่อนข้างสมบูรณ์ จึงต้องติดตามว่าจะมีการอุทธรณ์หรือไม่ และถ้าอุทธรณ์จะเขียนอย่างไร ข้อเสนอข้อเท็จจริงโดยครบถ้วนเพียงพอให้ศาลวินิจฉัยหรือไม่ หรือมีพฤติกรรมในลักษณะไม่นำเสนอข้อเท็จจริงที่ครบถ้วน เป็นเหตุให้ศาลวินิจฉัยในลักษณะที่ไม่ได้พยานหลักฐานเพียงพอต่อการพิจารณาคดี

นายสุริยะใส กล่าวเสริมว่า ยังด่วนเกินไปที่จะคาดการณ์ล่วงหน้า เพราะยังอยู่ในกรอบเวลา และ ป.ป.ช.ก็บอกว่ารอคำพิพากษาฉบับเต็มก่อน ขั้นตอนการทำงานก็ต้องให้โอกาสเขา แต่ว่าช่องทางมันไม่ได้จบแค่นี้ คณะทำงานที่ตั้งขึ้นมาก็จะไปวางแนวทางว่ามีช่องทางอื่นหรือไม่ กระบวนการยังอีกยาว พร้อมฝากถึงพันธมิตรฯ อย่าเพิ่งหมดหวัง ประตูยังไม่ได้ปิด ความยุติธรรมยังต้องเรียกร้องกันต่อ ยังมีช่องทางอื่น ทั้งนี้ก็ต้องคำดูคำพิพากษาของศาลฎีกาก่อน