นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจน้ำมัน บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปตท.เตรียมทบทวนแผนลงทุนธุรกิจน้ำมันในช่วง 5 ปี(2561-2565) จากแผนเดิมปี 2560-2564 อยู่ที่ 5 หมื่นล้านบาท โดยจะนำแผนลงทุนสถานีชาร์จไฟฟ้าสำหรับรถยนต์อีวีเข้าไปอยู่ในแผนด้วย ปัจจุบันเปิดดำเนินการสถานีชาร์จอีวีแล้ว 6 แห่ง และ ปตท.ตั้งเป้าขยายสถานีชาร์จอีวี 20 แห่งภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งมีการกำหนดพื้นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนใหญ่จะอยู่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล
สำหรับในปีนี้ ปตท.ตั้งงบลงทุนธุรกิจน้ำมันไว้ที่ 1 หมื่นล้านบาท ใช้ไปแล้ว 40% ของเงินลงทุนทั้งหมด ขณะที่ยอดขายน้ำมันของ ปตท.ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้เติบโต 3-4% สูงกว่าตลาดรวมที่โตเฉลี่ย 1.5% และอยู่ระหว่างประเมินช่วงครึ่งปีหลัง ส่วนราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล คาดว่าราคาจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก เพราะหากราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้นมาก แหล่งน้ำมันที่เคยหยุดผลิตก็จะกลับมาผลิต
ส่วนแผนธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมเหลว(แอลพีจี) ในเดือนกรกฎาคมนี้ ปตท.นำเข้า 6.6 หมื่นตัน โดยในจำนวนนี้ขอนำเข้าเพื่อส่งออก 5.9 หมื่นตัน ไปยังตลาดกัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา ซึ่งพบว่ายังมีความต้องการใช้แอลพีจีสูงขึ้น ขณะที่กติกาการเช่าคลังแอลพีจีของ ปตท.ที่เขาบ่อยา รองรับก๊าซแอลพีจี 2.5 แสนตันต่อเดือน ทาง ปตท.พร้อมเจรจาอัตราเช่าคลังกับทางผู้นำเข้าแอลพีจีรายอื่นที่สนใจจะเช่าคลังแอลพีจีดังกล่าว โดยที่ผ่านมาทางบริษัทมิตซูบิชิ และสยามแก๊สฯ เข้ามาเจรจารายละเอียดเบื้องต้นแล้ว
“ปตท.ยังคงรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดแอลพีจีในประเทศ จากปัจจุบันเป็นอันดับ 1 มีส่วนแบ่งทางการตลาด 38% โดยจะเพิ่มการบริการและความปลอดภัย คุณภาพถังแอลพีจี ขณะที่คลัง ปตท. ที่เขาบ่อยาก็พร้อมเจรจากับผู้ค้ารายอื่นที่สนใจเช่าคลังของ ปตท. อย่างไรก็ตามแนวโน้มการนำเข้าแอลพีจีของไทยเพิ่มสูงขึ้น มาจากกำลังการผลิตจากอ่าวไทยลดลง บวกกับ ปตท.มีแผนนำเข้าเพื่อส่งออกเพิ่มขึ้น จึงสามารถใช้คลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ”นายอรรถพล กล่าว
นายนพดล ปิ่นสุภา รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปตท.รับก๊าซธรรมชาติเหลว(แอลเอ็นจี) เที่ยวแรกจากปิโตรนาส จำนวน 1.37 แสนลูกบาศก์เมตร ณ สถานีรับ-จ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว มาบตาพุด จ.ระยอง โดย ปตท. และปิโตรนาส ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายแอลเอ็นจีระยะยาว 15 ปี ปริมาณการจัดส่ง 1.2 ล้านตันต่อปี เพื่อเสริมความมั่นคงทางพลังงานของประเทศไทย ในภาวะที่การผลิตก๊าซธรรมชาติจากแหล่งภายในประเทศและจากประเทศเพื่อนบ้านเริ่มมีขีดจำกัด นับเป็นโอกาสความร่วมมือทางธุรกิจแอลเอ็นจีและก๊าซธรรมชาติในอนาคตต่อไป