เทสลาโมเดล 3 เผยโฉม ตั้งเป้าเพิ่มกำลังผลิต 5 เท่าภายในสิ้นปีหน้า
เผยโฉมแล้ว เทสลา “Model 3” รถยนต์ไฟฟ้าที่คาดกันว่าจะเป็นตัวจุดชนวนการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมยานยนต์โลก คันแรกออกจากสายการผลิตเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา กำหนดราคาไว้ที่คันละ 35,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ
นายอิลอน มัสค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท เทสลาฯ ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและนวัตกรรมพลังงานหมุนเวียนสัญชาติอเมริกัน เผยโฉมรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น “โมเดล3” ในทวิตเตอร์ส่วนตัวของเขาเมื่อเร็วๆ นี้ โดยรถสีดำมันวาวคันดังกล่าวเป็นรถคันแรกที่ออกจากสายการผลิต และเป็นรถของอิลอน มัสค์ เอง เทสลาวางแผนจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ในราคาคันละ 35,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 1.22 ล้านบาท รายงานระบุว่า หลังจากเปิดจองโดยลูกค้าต้องวางเงินคันละ 10,000 ดอลลาร์นั้น บริษัทรับเงินจองเข้ามาแล้วมากกว่า 500 ล้านดอลลาร์
เทสลาวางแผนทยอยส่งมอบรถ ซึ่งระยะแรกอาจมีจำนวนไม่มากนัก โดยในวันที่ 28 กรกฎาคมนี้ซึ่งเป็นวันฉลองการเปิดตัวรถโมเดล 3 เข้าสู่ตลาด บริษัทจะทำการส่งมอบรถจำนวน 30 คันแรก จากนั้นจะผลิต 100 คันภายในเดือนสิงหาคม นักวิเคราะห์กล่าวว่า การเปิดตัวรถไฟฟ้ารุ่นโมเดล 3 ของเทสลาเกิดขึ้นท่ามกลางความคาดหวังของผู้คนที่ต้องการเห็นการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าออกมาในเชิงพาณิชย์สำหรับตลาดวงกว้าง ซึ่งหากเทสลาทำได้ตามแผน ก็จะเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายแรกที่ทำได้ อย่างไรก็ตาม คู่แข่งของเทสลานั้นมีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเมอร์เซเดส- เบนซ์ หรือบีเอ็มดับเบิลยู ต่างกันเพียงแต่คู่แข่ง 2 รายใหญ่นี้ไม่ได้ผลิตรถไฟฟ้าออกมาเป็นหลักเท่านั้น
ผู้บริหารของเทสลากล่าวว่า หลังจากเดือนสิงหาคม กำลังการผลิตของโรงงานจะขยับเพิ่มขึ้นเป็น 1,500 คันในเดือนกันยายน และเมื่อถึงเดือนธันวาคมศกนี้ กำลังการผลิตของโรงงานก็จะขยับขึ้นไปที่เดือนละ 20,000 คัน ซึ่งนั่นหมายถึงการเพิ่มความสามารถในการผลิตมากกว่า 2 เท่าภายในระยะเวลา 6 เดือน จากนั้นยังจะเพิ่มอีกเป็น 5 เท่าภายในสิ้นปี 2561
ในกรณีที่มัสค์สามารถดำเนินการผลิตได้ตามแผนที่วางเอาไว้ เขาจะทำให้เทสลากลายเป็นบริษัทที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (รถอีวี) ออกสู่ตลาดจำนวนมากกว่าที่ผู้ผลิตรายอื่นๆ เคยผลิตออกมารวมๆกัน (โดยเทียบยอดผลิตของเทสลาในปี 2561 กับจำนวนผลิตรวมรถอีวีของทุกค่ายในปี 2559)
[caption id="attachment_177675" align="aligncenter" width="503"]
เทสลาโมเดล3เผยโฉม ตั้งเป้าเพิ่มกำลังผลิต5เท่าภายในสิ้นปีหน้า[/caption]
ลูกค้ากลุ่มแรกๆ ของรถโมเดล 3 คือ บรรดาผู้บริหารและพนักงานของเทสลาเอง รวมทั้งพนักงานของบริษัท สเปซเอ็กซ์ฯ ที่เป็นอีกบริษัทของอิลอน มัสค์ การส่งมอบจะเน้นผู้จองในสหรัฐฯก่อน โดยเฉพาะผู้ที่จองก่อนที่รถรุ่นดังกล่าวจะเปิดตัวย้อนกลับไปเมื่อ 15 เดือนที่ผ่านมา ส่วนผู้ที่ตัดสินใจจองรถโมเดล3 ในวันนี้ กว่าจะได้รับส่งมอบรถก็ราวๆ กลางปีหน้า ทั้งนี้กระบวนการผลิตที่ดูเหมือนจะล่าช้านั้นก็เพราะไม่ต้องการจะซํ้ารอยความผิดพลาดของการรีบเร่งเปิดตัวรถไฟฟ้ารุ่นก่อนหน้านี้ คือ โมเดล เอ็กซ์ (Model X) ที่มีจุดบกพร่องตามมามากมาย จนสุดท้ายต้องมีการเรียกคืนรถจากตลาดกลับไปแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น (ซึ่งเทสลาก็บริหารจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นกับรถโมเดล เอ็กซ์ ได้เป็นอย่างดี ทำให้รถรุ่นนี้กลายเป็นรถเอสยูวีระดับหรูที่ทำยอดขายสูงสุดเป็นอันดับ 4 ในสหรัฐอเมริกา)
นักวิเคราะห์ระบุว่า ยอดจองรุ่นโมเดล 3 ล็อตแรกๆตกอยู่กับพนักงานบริษัทเทสลาฯเองนั้นมีที่มา เนื่องจากรถรุ่นก่อนๆของบริษัท อาทิ โมเดล เอส และโมเดล เอ็กซ์ เป็นรุ่นหรูราคาแพง ทำให้พนักงานส่วนใหญ่รอคอยรุ่นราคาถูกลงมา ซึ่งก็คือ โมเดล 3 นอกจากนี้บริษัทยังต้องการให้พนักงานได้ทดลองขับรถก่อนใครๆ เพื่อที่ว่าหากมีข้อบกพร่องใดๆ หลังรถออกจากสายการผลิต ก็จะสามารถตรวจพบและแก้ไขได้แต่เนิ่นๆ และฉับไว
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,278 วันที่ 13 - 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2560
นายอิลอน มัสค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท เทสลาฯ ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและนวัตกรรมพลังงานหมุนเวียนสัญชาติอเมริกัน เผยโฉมรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น “โมเดล3” ในทวิตเตอร์ส่วนตัวของเขาเมื่อเร็วๆ นี้ โดยรถสีดำมันวาวคันดังกล่าวเป็นรถคันแรกที่ออกจากสายการผลิต และเป็นรถของอิลอน มัสค์ เอง เทสลาวางแผนจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นนี้ในราคาคันละ 35,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 1.22 ล้านบาท รายงานระบุว่า หลังจากเปิดจองโดยลูกค้าต้องวางเงินคันละ 10,000 ดอลลาร์นั้น บริษัทรับเงินจองเข้ามาแล้วมากกว่า 500 ล้านดอลลาร์
เทสลาวางแผนทยอยส่งมอบรถ ซึ่งระยะแรกอาจมีจำนวนไม่มากนัก โดยในวันที่ 28 กรกฎาคมนี้ซึ่งเป็นวันฉลองการเปิดตัวรถโมเดล 3 เข้าสู่ตลาด บริษัทจะทำการส่งมอบรถจำนวน 30 คันแรก จากนั้นจะผลิต 100 คันภายในเดือนสิงหาคม นักวิเคราะห์กล่าวว่า การเปิดตัวรถไฟฟ้ารุ่นโมเดล 3 ของเทสลาเกิดขึ้นท่ามกลางความคาดหวังของผู้คนที่ต้องการเห็นการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าออกมาในเชิงพาณิชย์สำหรับตลาดวงกว้าง ซึ่งหากเทสลาทำได้ตามแผน ก็จะเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายแรกที่ทำได้ อย่างไรก็ตาม คู่แข่งของเทสลานั้นมีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเมอร์เซเดส- เบนซ์ หรือบีเอ็มดับเบิลยู ต่างกันเพียงแต่คู่แข่ง 2 รายใหญ่นี้ไม่ได้ผลิตรถไฟฟ้าออกมาเป็นหลักเท่านั้น
ผู้บริหารของเทสลากล่าวว่า หลังจากเดือนสิงหาคม กำลังการผลิตของโรงงานจะขยับเพิ่มขึ้นเป็น 1,500 คันในเดือนกันยายน และเมื่อถึงเดือนธันวาคมศกนี้ กำลังการผลิตของโรงงานก็จะขยับขึ้นไปที่เดือนละ 20,000 คัน ซึ่งนั่นหมายถึงการเพิ่มความสามารถในการผลิตมากกว่า 2 เท่าภายในระยะเวลา 6 เดือน จากนั้นยังจะเพิ่มอีกเป็น 5 เท่าภายในสิ้นปี 2561
ในกรณีที่มัสค์สามารถดำเนินการผลิตได้ตามแผนที่วางเอาไว้ เขาจะทำให้เทสลากลายเป็นบริษัทที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (รถอีวี) ออกสู่ตลาดจำนวนมากกว่าที่ผู้ผลิตรายอื่นๆ เคยผลิตออกมารวมๆกัน (โดยเทียบยอดผลิตของเทสลาในปี 2561 กับจำนวนผลิตรวมรถอีวีของทุกค่ายในปี 2559)
[caption id="attachment_177675" align="aligncenter" width="503"]
ลูกค้ากลุ่มแรกๆ ของรถโมเดล 3 คือ บรรดาผู้บริหารและพนักงานของเทสลาเอง รวมทั้งพนักงานของบริษัท สเปซเอ็กซ์ฯ ที่เป็นอีกบริษัทของอิลอน มัสค์ การส่งมอบจะเน้นผู้จองในสหรัฐฯก่อน โดยเฉพาะผู้ที่จองก่อนที่รถรุ่นดังกล่าวจะเปิดตัวย้อนกลับไปเมื่อ 15 เดือนที่ผ่านมา ส่วนผู้ที่ตัดสินใจจองรถโมเดล3 ในวันนี้ กว่าจะได้รับส่งมอบรถก็ราวๆ กลางปีหน้า ทั้งนี้กระบวนการผลิตที่ดูเหมือนจะล่าช้านั้นก็เพราะไม่ต้องการจะซํ้ารอยความผิดพลาดของการรีบเร่งเปิดตัวรถไฟฟ้ารุ่นก่อนหน้านี้ คือ โมเดล เอ็กซ์ (Model X) ที่มีจุดบกพร่องตามมามากมาย จนสุดท้ายต้องมีการเรียกคืนรถจากตลาดกลับไปแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น (ซึ่งเทสลาก็บริหารจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นกับรถโมเดล เอ็กซ์ ได้เป็นอย่างดี ทำให้รถรุ่นนี้กลายเป็นรถเอสยูวีระดับหรูที่ทำยอดขายสูงสุดเป็นอันดับ 4 ในสหรัฐอเมริกา)
นักวิเคราะห์ระบุว่า ยอดจองรุ่นโมเดล 3 ล็อตแรกๆตกอยู่กับพนักงานบริษัทเทสลาฯเองนั้นมีที่มา เนื่องจากรถรุ่นก่อนๆของบริษัท อาทิ โมเดล เอส และโมเดล เอ็กซ์ เป็นรุ่นหรูราคาแพง ทำให้พนักงานส่วนใหญ่รอคอยรุ่นราคาถูกลงมา ซึ่งก็คือ โมเดล 3 นอกจากนี้บริษัทยังต้องการให้พนักงานได้ทดลองขับรถก่อนใครๆ เพื่อที่ว่าหากมีข้อบกพร่องใดๆ หลังรถออกจากสายการผลิต ก็จะสามารถตรวจพบและแก้ไขได้แต่เนิ่นๆ และฉับไว
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,278 วันที่ 13 - 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2560