เปิดสูตรแจ้งเกิด‘บอนชอน’ 6 ปี ยอดขายทะลุพันล้านบาท
Thansettakij เว็บไซต์ข่าวฐานเศรษฐกิจ ผนวกไลฟ์สไตล์ Start up SMEs อสังหาริมทรัพย์ การเงิน การลงทุน การตลาด เศรษฐกิจ เทคโนโลยี Breaking News อัพเดตข่าวล่าสุดที่นี่
ความสำเร็จของ บอนชอนชิคเก้น (BonChon) ที่สามารถปักธงในตลาดไก่ทอด สมรภูมิธุรกิจที่จัดว่าเดือดพล่าน ถือเป็นเรื่องไม่ธรรมดา“ฐานเศรษฐกิจ” ฉบับนี้ขอนำช่วงบางตอนจากการสนทนากับ ธัญญาศรี พัฒนาสกลุ กรรมการผู้จัดการและเจ้าของ บริษัท มาชิสโสะ จำกัด สิทธิ์มาสเตอร์แฟรนไชส์แบรนด์ Bon-Chon ในประเทศไทย โดยโฟกัสเฉพาะสูตรแจ้งเกิดธุรกิจตำรับเฉพาะของเธอ เป็นสำคัญ
จุดกระแสตลาดไก่ทอด
ธัญญา เริ่มต้นการสนทนาโดยกล่าวถึงที่มาที่ไปของบอนชอนในไทยว่า บอนชอนเหมือนผู้เปิดตลาดไก่ทอดเกาหลีมากกว่า เป็นอีกเซ็กเมนต์หนึ่งที่เราเชื่อว่าคนไทยไม่เคยทานมาก่อน โดยเราได้เข้ามาตลาดนี้เมื่อ6 ปีที่แล้ว จากกลยุทธ์การเติบโตสร้างความรู้จัก ด้วยการบอกต่อของลูกค้าที่ประทับใจมาทาน
“เราไม่คิดว่าเราจะมีคู่แข่งตรงๆ ขนาดนั้น ไม่ได้มองเลยว่าบอนชอนเข้ามาจะมีผลอย่างไรกับเคเอฟซี เพราะโมเดลธุรกิจทั้งกลุ่มลูกค้าและระดับราคาต่างกันมากกับเคเอฟซี, เชสเตอร์กริลล์ และแมคโดนัลด์ ที่เป็นแนวฟาสต์ฟูดไปเลย คนจะไม่รู้สึกว่าบอนชอนเป็นไก่ทอดขนาดนั้นเพราะเรายังมีเมนูอื่นๆอีกเยอะ แต่ยอมรับว่าการเข้ามาของบอนชอน สร้างกระแสไก่ทอดมากโดยรวม และมีคู่แข่งเพิ่มอย่างเท็กซัสชิกเก้น (สิทธิ์มาสเตอร์แฟรนไชส์ โดยปตท.) ที่เข้ามาตีตลาดโดยตรงกับเคเอฟซี”
ย้อนเส้นทาง บอนชอน เป็นร้านอาหารไก่ทอดที่มีต้นกำเนิดเปิดในเมืองปูซาน ประเทศเกาหลี เมื่อปี 2545 แต่หลังจากเจ้าของแบรนด์ย้ายกลับไปทำที่สหรัฐอเมริกา เป็นKorean-styled chicken เจ้าแรก ได้รับความนิยมในหมู่ของคนไทยในนิวยอร์ก ด้วยความที่ ธัญญาและเพื่อนชอบไปทานในระหว่างศึกษาที่สหรัฐฯ หลังเรียนจบจึงสนใจเป็นมาสเตอร์ แฟรนไชส์ของประเทศไทยโดยเปิดสาขาขึ้นแห่งแรกที่ทองหล่อเมื่อต้นปี 2554 ก่อนจะขยับขึ้นห้างสรรพสินค้า และด้วยกระแสตอบรับทำให้ร้านเป็นที่ต้องการของห้างใหม่ๆมากขึ้น ในตำแหน่งพื้นที่ดี และมีขนาดพื้นที่ใหญ่ขึ้นกว่า 200 ตารางเมตรจากเดิม 120-150 ตารางเมตร นอกจากนี้จากการลองเปิดร้านในย่านชานเมืองมากขึ้นที่รังสิต, บางนา, พระราม2 ได้ผลตอบรับเกินคาด ทำให้ในช่วง3 ปีหลังมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว
โตเท่าตัว-ต่อยอดแฟรนไชส์
ยอดขายบอนชอนขยับขึ้นต่อเนื่อง ได้เพิ่มจาก 289 ล้านบาท ในปี 2557 เป็น 543 ล้านบาท ในปี 2558 และ 11 เดือนแรกของปีนี้ทะลุไปแล้วกว่า 900 ล้านบาท จากเป้าหมายตั้งไว้ที่ 800 ล้านบาท โดย 2 ปีนี้ (2558-2559) ได้ขยายสาขาเพิ่มถึง 15 แห่ง โดยมีสาขารวมถึงสิ้นปีนี้ที่ 25 สาขา ทั้งยังประสบความสำเร็จจากการต่อยอดธุรกิจ โดยขายแฟรนไชส์ให้กับ SSP international (บริษัทในเครือไมเนอร์) เปิดร้านบอนชอนในสนามบินถึง 3 สาขา คือที่ดอนเมือง 2 สาขาและที่สุวรรณภูมิ 1 สาขา
“แนวโน้มตลาดไก่ทอด ยังเติบโตได้อีกเรื่อยๆ ตราบใดที่คู่แข่งมองว่า ในหลายๆ ร้าน ยังมีคิว มีกลุ่มลูกค้าที่ยังไม่ได้รับการเสิร์ฟ และการเติบโตของตลาดไก่ทอดก็ไม่ได้มาแค่กับกระแสการเข้ามาของแบรนด์อินเตอร์ ยังมาจากการที่หลายร้านที่เพิ่มเมนูไก่ทอด เพื่อตอบรับความต้องการตรงนี้ด้วย” เธอให้รายละเอียด
ปีหน้า เข้าห้างรุกภูธร
ด้วยเป้าหมายเติบโต 30% เพื่อดันยอดขายทะลุพันล้านบาท บอนชอนต้องขยับและรุกหลายๆ ด้านไปพร้อมกันเธอลำดับเรื่องว่า กลยุทธ์การตลาดของบอนชอนในปี 2560 จะขยายต่อทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑลตามการเปิดของห้างใหม่ ตามหัวเมืองใหญ่, ภาคอีสานที่มีกำลังซื้อยังดี และในโซนที่ยังไม่เคยเปิดเลย เช่นที่ศรีนครินทร์ โดยรวมปีหน้าจะเปิดเพิ่มไม่ตํ่ากว่า 5 สาขา มียอดขายโตเพิ่ม 30% หรือที่ 1,200 ล้านบาท การลอนช์ (ออก) เมนูใหม่ และจัดแคมเปญเจาะกลุ่มเด็กมากขึ้น จากกลุ่มเป้าหมายเดิมที่ยังเป็นวัยรุ่น และวัยทำงาน
การจัดกิจกรรมแข่งขันกินไก่เป็นปีที่ 3 เพื่อตอกยํ้าแบรนด์และกระตุ้นยอดขายผ่านสาขา ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียมากขึ้นเช่น “ไลน์กิฟต์ช็อป” โดยให้ส่วนลดในการซื้อ และจับมือกับ 3 พันธมิตรดีลิเวอรีหลักคือ ฟูด แพนด้า, เชฟเอ็กเพรส(หรือ เชฟ XP) และกินจา ที่ผ่านมาการขายผ่านดีลิเวอรี (ส่งตรงถึงบ้าน) บอนชอนยังมีสัดส่วนไม่ถึง 2% ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ธัญญาบอกว่ามีโอกาสโตอีกมาก โดยเห็นชัดพอมีแอพพลิเคชัน “ไลน์แมน” คนเริ่มรู้ว่าสะดวกแค่ไหนในการสั่งซื้ออาหาร และมีอีกหลายเจ้าที่จะเข้ามาในลักษณะเดียวกับ “ไลน์แมน “ซึ่งจะช่วยขยายการบริโภคของไทยเติบโตได้มาก
นอกจากนี้บอนชอนต้องกระชับการบริหารด้านอื่นๆ อีกเช่น สาขาที่ยอดขายนิ่งในคอมมิวนิตีมอลล์บางแห่งจะปรับเป็น “ดีลิเวอรีฮับ” เป็นแหล่งส่งสินค้าในพื้นที่ใกล้เคียง รวมทั้งมีแผนจะสร้างแบรนด์สินค้าใหม่ขึ้นเพื่อกระจายความเสี่ยง โดยอยู่ระหว่างศึกษาและวิจัยเพื่อให้เกิดความมั่นใจเสียก่อนว่าสินค้าดีจริงถูกปาก ไม่สามารถก๊อบปี้ได้ง่ายๆ อยู่ได้อย่างยั่งยืน
แบรนด์ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
การที่ยอดขายบอนชอน จะแตะหลักพันล้านบาทปีหน้า หรือนัยหนึ่งคือขยับขึ้นมาเป็นกิจการขนาดกลาง เธอวางเป้าหมายธุรกิจไว้อย่างไร มีแผนเข้าตลาดหุ้นหรือไม่? ธัญญา บอกว่ายังไม่มีข้อสรุปในเรื่องนี้ (ระดมทุน) แต่ถ้าในอนาคตต้องการพัฒนาแบรนด์และเติบโตอย่างรวดเร็ว เธอบอกว่า “ไม่แน่”
สูตรแจ้งเกิด
สูตรแจ้งเกิดธุรกิจคืออะไร? ธัญญายอมรับว่าการได้แฟรนไชส์ที่ดี (บอนชอน)เป็นหนึ่งในหัวใจของความสำเร็จ เธอใช้คำว่า “โชคดีที่สินค้าดี” ข้อดีหลักๆ ของแบรนด์ลิขสิทธิ์ มักจะได้รับการทดสอบตลาดมาจากต่างประเทศแล้วว่า สินค้ามีคุณภาพและเป็นที่ถูกใจผู้บริโภค และอีกทั้งยังได้รับการตอบรับจากห้างสรรพสินค้าในการหา location (ทำเล) ได้ง่ายกว่าแบรนด์ที่สร้างขึ้นเอง และการนำเข้าแบรนด์มา ยังทำให้เราได้ทราบถึง know how ต่างๆ และได้รับการช่วยเหลือจากบริษัทแม่ด้วย ส่วนข้อเสียก็คือต้นทุนในการทำธุรกิจที่แพงกว่าแบรนด์ที่สร้างขึ้นเอง จากค่าการซื้อแบรนด์เริ่มต้น และค่า Loyaltyจากยอดขายที่ต้องแบ่งให้กับทางแบรนด์ต้นสังกัด”
ปัจจัยถัดมา เมื่อสินค้าดี ลูกค้าบอกต่อ และคุมคุณภาพและบริการอยู่ แต่เราไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องโตเร็วโดยที่รากฐานยังไม่มั่นคง จุดเด่นของบอนชอนคือ เราค่อนข้างตอบโจทย์ลูกค้าเป็นแพ็กเกจโดยรวมได้เพราะไม่ใช่แค่อาหารอร่อยแล้วจะไปได้ไกลยั่งยืน แต่ส่วนประกอบอื่นบริการและบรรยากาศก็ต้องดีด้วยให้ลูกค้าเข้ามาแล้ว เขารู้สึกได้ว่ามันเป็นแพ็กเกจคุ้มค่ากับเวลาการรอคอยและราคาที่ต้องเสียไป” ธัญญากล่าวและอีกปัจจัยคือ ที่เธอเชื่อว่ามีส่วนผลักดันให้ธุรกิจมาสู่เป้าหมายคือ เธอชอบทำอาหาร มีพื้นฐานทำการค้าจากครอบครัว (โรงเลื่อยไม้) จึงถนัดจิ้มเครื่องคิดเลขตั้งแต่เด็ก และได้หุ้นส่วนรู้ใจ ทั้งนี้ บริษัท มาชิสโสะ จำกัด ถือหุ้นโดยธัญญาและครอบครัว 70%และอีก 30% เป็นของเพื่อนสมัยเรียนเตรียมอุดม (พรพิมล วงศ์ศิริกุลเจ้าของและผู้บริหารฝ่ายอินทีเรียร์)
กำลังซื้อ “โจทย์ใหญ่” ปีหน้า
ในฐานะคนทำธุรกิจมองปีหน้าอย่างไร? ธัญญา กล่าวว่า ปัจจัยในปีหน้า ภาวะเศรษฐกิจเป็นโจทย์ท้าทายอย่างปี 2558 ยังไม่เห็นสัญญาณเรื่องเศรษฐกิจมากเท่าปีนี้ และปี 2559มีหลายเหตุการณ์ที่ทำให้คนไม่ค่อยใช้จ่าย เห็นได้จากยอดสาขาบางแห่งที่ลดลง แต่เทียบกับอุตสาหกรรมเดียวกันนี้ เรายังกระทบน้อยและการที่บอนชอนยังมียอดขายรวมโตเป็นเท่าตัว ก็มาจากการขยายสาขาและขนาดต่อสาขาที่ใหญ่ขึ้น
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,219 วันที่ 18-21 ธันวาคม 2559