กราบพระบาท

11 ธ.ค. 2559 | 00:00 น.
หัวนอนของเราที่หอพักนักศึกษา ADAMS HOUSE ของมหาวิทยาลัย HARVARD หันไปทางถนน MT. AUBURN STREET ครับ

หน้าหนาวในปี คศ. 2000 ผมมีโอกาสไปเยี่ยมบุตรชายที่ได้ทุนเล่าเรียนหลวง (KING’S SCHOLARSHIP) ไปศึกษาปริญญาตรีเศรษฐศาสตร์ ณ มหาวิทยาลัยแห่งนี้

MT. AURURN STREET ถ้าเดินต่อไปเรื่อยๆ พ้นบริเวณ CAMPUS มหาวิทยาลัยไม่ช้าไม่นานก็จะเจอโรงพยาบาล MT. AUBURN HOSPITAL ที่ถวายประสูติกาล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9

มีโอกาสดีขนาดนี้แล้ว ผมและเพื่อนรุ่นพี่ (พ.ต.อ.อาทร บุญปสาท) อดีตตำรวจตระเวนชายแดน ผู้มีงานอดิเรกเป็นนักข่าวนักเขียน และเป็นผู้มีความจงรักภักดีสูง จึงชวนกันเดินไปโรงพยาบาล MT.AUBURN แม้ว่าจะต้องฝ่าความหนาวเย็นของอากาศหน้าหนาว EAST COAST USA และต้องย่ำหิมะหนาหลายนิ้ว เพื่อจะไปสัมผัสกับสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ สถานที่แรกกำเนิดของพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งของปวงพสกนิกรไทย

ระยะทางไม่ไกลครับ แต่ด้วยสภาพอากาศและบาทวิถีที่ไม่เป็นใจ ทำให้เราใช้เวลาหลายสิบนาที

เมื่อได้เข้าไปอยู่ในโถงของโรงพยาบาลอันอบอุ่น เจ้าหน้าที่ต้อนรับด้วยไมตรีจิต และบอกทางให้ด้วยความยินดี ห้องถวายประสูติกาลเดิมไม่ได้ทำหน้าที่แล้ว แต่ชั้นนั้นมีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ พร้อมป้ายจารึกที่เล่าความเป็นมาของสถานที่ที่พระมหากษัตริย์ไทยทรงมีพระราชสมภพ

ปี คศ. 1927 เป็นปีที่เจ้าฟ้ามหิดล ทรงกลับไปศึกษาวิชาแพทย์ศาสตร์ที่มหาวิทยาลัย HARVARD หลังจากที่เคยทรงศึกษาวิชาการสาธารณสุขศาสตร์ ทรงโปรดการใช้ชีวิตอย่างสามัญชน จึงใช้ Mr. & Mrs. MAHIDOL SONGKLA ปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลฯ ประสูติ เป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ขึ้นเถลิงราชย์สมบัติแล้ว หม่อมเจ้าภูมิพล อดุลยเดช จึงทรงดำรงฐานันดร "พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้า"

เจ้าฟ้ามหิดล ทรงได้รับคำนินทาจากเจ้านายพระองค์อื่นว่า "ขี้เหนียว" ซึ่งโดยเนื้อแท้แล้ว ทรงใช้จ่ายส่วนพระองค์ด้วยความระมัดระวัง เพื่อจะมี "ทรัพย์" ไว้ใช้ในการช่วยเหลือผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาของประชาชนชาวสยาม ทรงริเริ่มการแพทย์แผนปัจจุบัน และการสาธารณสุขทันสมัยขึ้น ทั้งยังมีพระทัยกว้างส่งเสริมให้ "สตรี" สามารถเข้าศึกษาวิชาแพทย์ได้ เมื่อมีผู้ท้วงติง ทรงตอบด้วยพระอารมณ์ขันว่า "(ความรู้ที่มี) อย่างน้อยก็จะทำให้เขาได้ผัวดีๆ"

HARVARD UNIVERSITY ตั้งอยู่ ณ เมือง CAMBRIDGE รัฐ MASSACHUSETTS เป็นเมืองที่คนไทยทุกวันนี้สามารถเดินได้อย่างภาคภูมิใจ คงไม่มีเจ้าฟ้าในโลกกี่พระองค์ที่ได้เข้าศึกษามหาวิทยาลัยชั้นยอดของโลก HARVARD คงไม่มี "เจ้านาย" กี่คนที่ได้ใช้วิชาให้เป็นประโยชน์กับผู้คนทุกข์ยากได้ไพศาล

เมือง CAMBRIDGE ยังภาคภูมิใจความเป็นเมืองที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ ทรงมีพระราชสมภพ

อนุสาวรีย์จัตุรัส KING BHUMIBOL ADULYADEJ OF THAILAND ตั้งขึ้นเพื่อระลึกถึงพระราชสมภพ ณ MT. AUBURN HOSPITAL / 5Th DECEMBER 1927 กษัตริย์พระองค์เดียวในโลกที่ประสูติในประเทศสหรัฐอเมริกา
และเหมือน "ฟ้า" ได้กำหนดบางสิ่งไว้ล่วงหน้า เมื่อสหประชาชาติ (UN) จัดประชุมถวายอาลัยแด่ THAI KING เมื่อ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา เผอิญเหลือเกินที่ ท่านทูต SAMANTHA POWER ทูตสหรัฐอเมริกาประจำสหประชาชาติ เป็นอดีต PROFESSOR ของ HARVARD UNIVERSITY มีความคุ้นเคยกับจัตุรัส KING BHUMIBOL SQUARE ที่ต้องเดินผ่านทุกวัน ประทับใจ และสนใจในพระราชประวัติของ KING OF THAILAND พระองค์นี้ ที่ประสูติ ณ โรงพยาบาล MT.AUBURN ที่ไม่ไกลจากกัน ท่านทูต SAMANTHA POWER จึงกล่าวสุนทรพจน์ได้กินใจคนไทยและชาวโลก

ท่านทูตอดีตนักข่าวสาวหัวเห็ดผู้กล้าหาญ ฝังตัวอยู่ใน SYRIA เป็นปี / นักเขียนระดับมือรางวัล / อาจารย์มหาวิทยาลัย HARVARD / นักการเมืองผู้มีความสนิทสนมกับประธานาธิบดี OBAMA (แต่คนละสายกับ HILLARY CLINTON) จะถูกแทนที่ตำแหน่งทูตสหรัฐประจำ UN โดยคนของประธานาธิบดี DONALD TRUMP ซึ่งอยู่คนละพรรคในไม่ช้านี้
แต่คนไทยคงจดจำชื่อท่านทูต POWER อีกชั่วกาลนาน

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชนิพนธ์ว่าด้วยความเป็นเจ้าแผ่นดินนั้น จะต้องทรงประกอบหน้าที่อย่างไร

"... เป็นคนที่อดกลั้นต่อสุขและทุกข์ อดกลั้นต่อความรักและความชิงชังอันจะเกิดฉิวขึ้นมาในใจ หรือมีผู้ยุยงเป็นผู้ปราศจากความเกียจคร้าน ผลที่จะได้นั้นมีแต่ชื่อเสียง ปรากฏเมื่อเวลาตายแล้วว่า เป็นผู้รักษาวงศ์ตระกูลไว้ได้
และเป็นผู้ป้องกันความทุกข์ของราษฎร ซึ่งอยู่ในอำนาจความปกครอง..."

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ "ทรงผูกใจ" พสกนิกรของพระองค์ ตลอดระยะเวลาครองราชย์ 70 ปี ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ไพศาล

ความอาลัย การไว้ทุกข์ทั้งแผ่นดินต่อโดยความสมัครใจ เป็นประจักษ์พยาน

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 36 ฉบับที่ 3,215 วันที่ 8 - 10 ธันวาคม 2559