บล.KTBST มองดัชนีสัปดาห์นี้ยังไปต่ออาจแตะระดับ 1,550 จุด

25 ก.ค. 2559 | 03:30 น.
บล.KTBST มองดัชนีสัปดาห์นี้ยังไปต่ออาจแตะระดับ 1,550 จุด พร้อมจับตาการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ชู หุ้นเด่น 'ROBINS' มีแนวโน้มรายได้เพิ่มขึ้นตามเศรษฐกิจต่างจังหวัดที่โตขึ้น

นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (KTBST) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นในสัปดาห์นี้ (25 - 29 ก.ค. ) ส่วนใหญ่ยังเคลื่อนไหวไปตามปัจจัยเดิม หรือเคลื่อนไหวไปตามปัจจัยเดิมที่ตลาดรับรู้มาระดับหนึ่งแล้ว ตัวเลขส่งออกถ้าไม่ดีมากคงไม่มีผลอะไร ราคาน้ำมันเป็นลบแต่หุ้นปิโตรเคมีเป็นบวก จึงเป็นการชดเชยกันไปส่วนการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) นั้นจะไปมีผลต่อตลาดวันศุกร์ ภาพของตลาด จึงเห็นว่า เงินทุนไหลเข้า (Fund Flow ) ยังมีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยอยู่ แต่ความร้อนแรงจะลดลง ยิ่งเมื่อเข้าใกล้วันลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญเข้ามา การเคลื่อนไหวของดัชนีฯ จะเป็นลักษณะ “ไต่ระดับขึ้นผสมการขายทำกำไรเป็นช่วงๆ" โดยมองกรอบดัชนีในสัปดาห์นี้เคลื่อนไหวในแนวรับที่ 1,500 - 1476 ส่วนแนวต้านมองที่ 1,521 - 1550 จุด

"กลยุทธ์การลงทุนมองว่าราคาหุ้นขนาดใหญ่ที่ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมาก จะทำให้โอกาสที่จะมีการไล่ราคาหุ้นตัวเดิมๆมีน้อยลงยกเว้นมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว นักลงทุนควรปรับเป็นเล่นสั้นๆ เลือกขายหุ้นขึ้นมาก สลับไปเล่นหุ้นที่ราคาขึ้นน้อยกว่า หรือเข้าลงทุนหุ้นขนาดเล็ก ที่จะได้รับความสนใจมากขึ้น เพราะหุ้นใหญ่เริ่มไปไม่ไหว"

ทั้งนี้ปัจจัยจากต่างประเทศที่สำคัญได้แก่ ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ยังออกมาดีต่อเนื่อง รวมถึงยุโรปในบางส่วน ขณะที่เรื่อง BRExit นั้นผลกระทบต่างๆ ตลาดได้รับรู้ไปแล้วจากการคาดการร์วิเคราะห์ต่างซึ่งจากนี้ไปต้องก็รอดูว่าจะมีนัยยะอะไรจริงๆ ออกมาอีก ส่วนการประชุม 2 ธนาคารกลางใหญ่ คือ FOMC วันที่ 26-27ก.ค. และธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) วันที่ 28-29 ก.ค.นั้นการประชุม FOMC ตลาดไม่ได้คาดหวังอะไร ตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาดี ทำให้ Fed พร้อมขึ้นดอกเบี้ย แต่สถานการณ์ในเรื่อง BRExit และความไม่พร้อมของตลาด กล่าว คือประเทศส่วนใหญ่ กำลังจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม แต่ถ้าสหรัฐฯ ขึ้นดอกเบี้ยจะเป็นการทำที่สวนทางประเทศอื่น ดังนั้นการประชุม BOJ ตลาดคาดหวังไว้มากกว่าน่าจะมีมาตรการออกมาบ้าง ทั้งในเรื่องดอกเบี้ยที่ปัจจุบันดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ -0.10% และมาตรการอื่นที่จะกดค่าเงินเยนให้อ่อนหรือทรงตัวในระดับต่ำ

นอกจากนี้ในเรื่องการก่อการร้ายของยุโรปมีมากขึ้นเรื่อยๆ มีผลต่อหุ้นสายการบินในยุโรปซึ่งยังไม่กระทบต่อราคาน้ำมันแต่หากมีเหตุการณ์ใหญ่จึงจะมีผลกระทบ ซึ่งราคาน้ำมันดิบ WIT ปิดล่าสุด $44 เหรียญ ต่ากว่า $45 เหรียญ แล้ว เรามองเป็นลบจากการที่ราคาน้ำมันดิบหลุดจากฐานที่ $45 ลงมา เพราะมีความกังวลต่อการผลิตน้ำมันของสหรัฐฯกับOPEC ที่กำลังเพิ่มระดับขึ้น และมีผลต่อผู้ผลิตน้ำมันและโรงกลั่นน้ำมัน แต่จะยังคงดีต่อเนื่องสาหรับ ผู้ใช้น้ำมัน ผู้ผลิตปิโตรเคมีทั้งต้นน้ำและปลายน้ำ

สำหรับปัจจัยในประเทศนั้นผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2 ของกลุ่มธนาคารที่รายงานมาแล้ว ลดลง 2% YoY และ เพิ่มขึ้น 5% QoQ ขณะที่กลุ่มพลังงานกับปิโตรเคมีนั้น บล.KTBST ทำประมาณการเบื้องตันจะลดลง 3% YoY แต่เพิ่มขึ้น 8% QoQ  โดยหุ้นทั้งสองกลุ่มที่สัดส่วนกำไรค่อนข้างสูงอยู่ที่ 42% ใน Q2 ปี2559 ที่ดีขึ้นจาก Q1ปี2559 จึงคาดว่า มีแนวโน้มที่กำไรตลาดหลักทรัพย์จะออกมาดีกว่าที่เคยคาดไว้ที่ 2.1 แสนล้านบาท ส่วนยอดขายรถยนต์ เดือน มิ.ย. รายงานโดย HONDA ออกมาแล้วอยู่ที่ 63,792 คัน เพิ่มขึ้น 5.8% YoY แต่ลดลง 3.4% MoM ตัวเลขยอดขายที่ออกมาดี น่าจะส่งผลบวกต่อหุ้นในกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์

นายมงคล ยังกล่าวว่า ในสัปดาห์นี้หุ้นที่คาดว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนที่เด่นๆได้แก่  BBL : ราคาหุ้นร่วงตามกำไร Q2 ที่ลดลง 10% YoY แต่แนวโน้มจะดีขึ้นตามลำดับ , CPALL : หุ้นกำไรสม่ำเสมอ สินค้าส่วนใหญ่เป็นสินค้าจำเป็นในการครองชีพ , KCE : การฟื้นตัวเศรษฐกิจสหรัฐฯ และการเติบโตของสินค้า IT , IRPC : ผลการดำเนินงานจะออกมาดีและได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ลดลง , MATA : เพิ่มลูกค้าจีน , การสนับสนุนการลงทุนจากภาครัฐ และผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก , SAT : อุตสาหกรรมน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และยอดขายรถยนต์ในประเทศ ที่ขยับตัวดีขึ้น , BA : ราคาลงมามากและได้ปัจจัยบวกจากเรื่องภาษีธุรกิจที่ได้รับ BOI ,

โดยหุ้นเด่นที่แนะนำคือ ROBINS ที่มองว่ามีฐานรายได้ส่วนหนึ่งในต่างจังหวัด (สาขา ตจว. 31 และ กทม. 11) ซึ่งรายได้มีโอกาสโตตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในเขตภูมิภาค (การช่วยเหลือจากภาครัฐฯ + สินค้าเกษตรที่ดีขึ้น)  ยอดขายเฉลี่ยของสาขาเดิม มีการเติบโตกลับมาเป็นบวกแล้ว หลังจากโตติดลบมาหลายปี ขณะเดียวกันความสามารถในการทำกำไร (margin) ดีขึ้นจากการเพิ่มฐานรายได้ค่าเช่า และขายสินค้า Inter Brand และสินค้าของตัวเองมากขึ้น

นอกจากนี้ยังแนะนำซื้อ IRPC จากการที่บริษัทได้เริ่มทำ (Chemical Oxygen Demand : COD ) ในโครงการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ (UHV: Upstream Project for Hygiene and Value Added Product) แล้วตั้งแต่วันที่ 16 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยโครงการดังกล่าวจะเป็นหน่วยปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเตาที่มีมูลค่าต่ำ (มีราคาขายต่ำกว่าราคาน้ำมันดิบซึ่งเป็นวัตถุดิบ) ให้เป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงขึ้น เช่น วัตถุดิบโอเลฟินส์ขั้นต้นอย่าง โพรพิลีน เอทิลีน รวมถึงน้ำมันสำเร็จรูปอื่นต่างๆ ซึ่งถือเป็นบวกกับ IRPC มาก ทำให้มูลค่าผลิตภัณฑ์ของบริษัทเพิ่มขึ้น (เพิ่ม GIM สุทธิหลังหักต้นทุนได้ราว $1 ต่อบาเรล) แล้ว หน่วยปรับปรุงคุณภาพดังกล่าวยังทำให้บริษัทสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้ด้วย เพิ่มจากปัจจุบันที่ 180 – 185 พันบาเรลต่อวันเป็น 200 – 210 พันบาเรลต่อวัน ซึ่ง IRPC จะได้ผลบวกดังกล่าวช่วยหนุนผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังของปีนี้  นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนในการขยายกำลังการผลิตเม็ดพลาสติก PP (โดยใช้วัตถุดิบเป็นโพรพิลีนที่ได้จากโครงการ UHV) และโครงการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ PP compound ในช่วงกลางปีหน้าซึ่งจะช่วยเพิ่มความมั่นคงและเสถียรภาพทางกำไรให้กับ IRPC ได้อีกด้วย

"เราจึงแนะนำ “ซื้อ” IRPC ราคาเหมาะสมที่ 5.40 บาท โดยมองว่าบริษัทน่าจะได้ปัจจัยบวกจากการทำ COD ดังกล่าว และอาจปรับประมาณการอีกครั้งหากผลบวกจาก UHV ดีกว่าที่คาด ขณะที่แนวโน้มกำไรไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ยังคาดว่าจะออกมาดี แม้ค่าการกลั่นจะอ่อนตัวลง แต่คาดส่วนต่างของปิโตรที่ดีขึ้นในไตรมาส 2 จะช่วยพยุงให้กำไรออกมาดีตามคาดได้ "