ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือ เนคเทค เปิดเผยว่าระบบนิเวศ (Ecosystem) การพัฒนาเซนเซอร์อัจฉริยะในประเทศยังต้องการส่วนเติมเต็ม เพื่อให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์อย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การคิดโจทย์การวิจัยและพัฒนาเพื่อตอบสนองต่อความต้องการในตลาดซึ่งต้องมีการวางแผน และกำหนดนโยบายสนับสนุนอย่างต่อเนื่องทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน ทั้งนี้ระบบนิเวศของเทคโนโลยีเซนเซอร์ในประเทศไทยยังไม่สมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม เนคเทค สวทช. ยังคงดำเนินบทบาทวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเซนเซอร์อัจฉริยะอย่างต่อเนื่องในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ครอบคลุมตั้งแต่การจัดตั้ง ศูนย์ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (TMEC) ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการพัฒนา IC Design และ การผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้องกับเซนเซอร์และเทคโนโลยีขั้นสูง รวมถึงการพัฒนาไมโครอิเล็กทรอนิกส์เซนเซอร์, MEMS (Micro-Electro-Mechanical Systems) และ โฟโตนิกส์ (Photonic Sensor) เป็นต้น และได้นำผลงานวิจัยเหล่านี้ไปใช้งานจริงในหลากหลายแอปพลิเคชัน เช่น เซนเซอร์สำหรับการวัดความดันโลหิต เซนเซอร์สำหรับการตรวจคุณภาพน้ำ การติดตามสุขภาพของเขื่อน และการใช้งานในภาคการเกษตร และอุตสาหกรรมการผลิต
การผลิตชิปในประเทศภายใต้บทบาทของ TMEC อาจไม่เป็นไปในลักษณะที่ประเทศผลิตเองทั้งหมด แต่ความเข้าใจในห่วงโซ่อุปทาน (Value Chain) ของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และการส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น การออกแบบแผงวงจรพิมพ์ (PCB Design), บรรจุภัณฑ์ (Packaging) ไปจนถึงการทดสอบ (Testing) เป็นต้น จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถรักษาเสถียรภาพในตลาดและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันได้ นอกจากนั้น TMEC และ เนคเทค สวทช. ยังมุ่งพัฒนา Proof of Concept ที่ช่วยให้การนำเทคโนโลยีเซนเซอร์ไปประยุกต์ใช้งานจริงในภาคอุตสาหกรรมให้เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความยั่งยืนในระยะยาว และพัฒนากำลังคนที่เชี่ยวชาญในด้านไมโครอิเล็กทรอนิกส์ไปพร้อมกัน
ดร.ชัย กล่าวต่อไปว่า เนคเทค สวทช. จะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเซนเซอร์ 3 ประเภทที่จะมีบทบาทสำคัญ: ได้แก่ Quantum & Terahertz Sensor ซึ่งเป็นเซนเซอร์ที่มีความแม่นยำสูงมากในการตรวจจับสัญญาณ เช่น สัญญาณสมอง หรือการวัดแรงโน้มถ่วงในระดับที่ละเอียดมาก สำหรับเซนเซอร์ที่ใช้คลื่นเทราเฮิร์ตซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษในการทะลุผ่านเนื้อเยื่อโดยไม่ทำลาย ซึ่งมีศักยภาพสูงในการใช้ตรวจจับหรือทำการเอกซเรย์ในรูปแบบที่ไม่เป็นอันตราย
Low-Power Sensor ซึ่งสามารถทำงานด้วยตัวเองโดยไม่ต้องใช้พลังงานจากภายนอก และมีศักยภาพในการนำไปใช้ในพื้นที่ห่างไกลได้ และ AI Sensor คือ การ embeded AI เข้าไปในเซนเซอร์มีการประมวลผลแบบอัจฉริยะในตัวเซนเซอร์
โดยผลงานเด่นด้านเซนเซอร์ของเนคเทค สวทช. ที่มีความพร้อมในการเข้าสู่ตลาด เป็นประโยชน์ต่อภาคธุรกิจ ยังสร้างโอกาสในการขยายตลาดสู่ระดับสากล ได้แก่ แพลตฟอร์มวินิจฉัยโรคด้วยเครื่องตรวจวัดรามานแบบพกพา: ใช้ชิป SERS และ AI บน Cloud เพื่อวิเคราะห์โรค เช่น วัณโรค ไข้เลือดออก และมะเร็ง ทราบผลใน 30 นาที ตรวจได้ on-site พร้อมจัดการข้อมูลออนไลน์
นอกจากนี้ยังมี GASSET: แพลตฟอร์มแก๊สเซนเซอร์ชนิดสารกึ่งตัวนำสำหรับการวัดกลิ่นใช้ในเกษตร การแพทย์ อุตสาหกรรม และสิ่งแวดล้อม, ‘DuoEye’ เครื่องอ่านสารเคมีปนเปื้อนในน้ำแบบพกพา และชุดตรวจคุณภาพน้ำ ‘ChemSense’ ใช้ตรวจคุณภาพน้ำแบบพกพา ใช้เทคโนโลยีเชิงแสง ราคาถูก สามารถเก็บและส่งข้อมูลออนไลน์
TeraAnt: อุปกรณ์รับและส่งสัญญาณเทระเฮิรตซ์เสาอากาศแบบตัวนำเชิงแสง เพื่อวิเคราะห์คุณสมบัติวัสดุในอุตสาหกรรมอาหารและยา ผลิตง่าย รองรับการขยายผลในระดับอุตสาหกรรม และ TeraBoost: แผ่นเพิ่มสัญญาณ 5G/6G เพิ่มกำลังสัญญาณสูงสุด 15 dB (32 เท่า) ใช้ในบริเวณอับสัญญาณ และสามารถรองรับ 6G ได้ในอนาคต
“จากประสบการณ์การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเซนเซอร์ของเนคเทค สวทช. จะเห็นว่าระบบนิเวศนี้ขาดตอนหลายส่วน งาน NECTEC-ACE 2024 ในธีม เปิดโลกเทคโนโลยียุคใหม่ ด้วยเซนเซอร์ไทยอัจฉริยะ: The Next Era of Thai Intelligent Sensors จึงเป็นโอกาสอันดีที่ทุกภาคส่วนในระบบนิเวศจะได้มาพบกัน ได้แลกเปลี่ยน และมองเห็นจุดที่ขาดและโอกาสในการเติมเต็มระบบนิเวศในบทบาทของตน รวมถึงร่วมกันปักหมุดว่าในประเด็นเรื่องเทคโนโลยีเซนเซอร์อัจฉริยะประเทศไทยควรจะยืนอยู่จุดไหนจึงจะคุ้มค่าและเกิดประโยชน์ต่อประเทศมากที่สุด”