“สทน.”จับมือ เอสซีจี ซิเมนต์ MOU ศึกษาแหล่งธาตุหายาก ดันเทคโนโลยีฟิวชัน

24 ส.ค. 2565 | 12:27 น.

“สทน.”จับมือ เอสซีจี ซิเมนต์ ลงนามบันทึกความร่วมมือ ลุยศึกษาแหล่งธาตุหายาก ดันเทคโนโลยีฟิวชันด้านพลังงาน ดันเครื่องต้นแบบในไทยปี 66

รศ.ดร.ธวัชชัย อ่อนจันทร์ ผู้อำนวยการสทน. เปิดเผยว่า สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือสทน. และ บริษัท เอสซีจี ซิเมนต์ จำกัด ได้จัดพิธีลงนามความร่วมมือว่าด้วย การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีพลาสมาในธุรกิจซีเมนต์ และการสกัดธาตุหายาก โดยความร่วมมือในครั้งนี้ เราร่วมมือกันใน 2 เรื่อง เรื่องแรก คือ การศึกษาวิจัยเรื่องการใช้ประโยชน์จากธาตุหายาก โดยเป็นเรื่องส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาความเป็นไปได้และศักยภาพของแหล่งธาตุหายาก อาทิเช่น แหล่งธรรมชาติ ของเสียและวัตถุพลอยได้จากการทำเหมืองหรือการผลิตไฟฟ้า ของเสียจากโรงงานต่าง ๆ และขยะอิเล็กทรอนิกส์ รวมไปถึงแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ด้านการวิจัยและพัฒนา เกี่ยวกับกระบวนการและเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ ในการสกัดธาตุหายาก (Extraction) รวมถึงการทำให้บริสุทธิ์ในรูปของโลหะ (Metallization) และร่วมกันศึกษาพัฒนาเชิงธุรกิจ ในการทำ High Value-Added Product จากวัสดุเหลือทิ้งและวัตถุพลอยได้จากกระบวนการผลิต เช่น วัตถุผสมของออกไซด์ธาตุหายาก (Mixed REOs) 

“สทน.”จับมือ เอสซีจี ซิเมนต์ MOU ศึกษาแหล่งธาตุหายาก ดันเทคโนโลยีฟิวชัน

ทั้งนี้ สทน.ได้วิจัยและพัฒนาธาตุหายากมายาวนาน โดยมีห้องปฏิบัติการอยู่ที่ศูนย์ธาตุหายาก สทน.คลองห้า ปทุมธานี  เรื่องที่สอง คือ การวิจัยประยุกต์ด้านพลาสมาอุณหภูมิสูงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจับ CO2 ในกระบวนการผลิตซีเมนต์ ซึ่งปัจจุบัน สทน.อยู่ในขั้นตอนการพัฒนาเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฟิวชัน คาดว่าจะเดินเครื่องต้นแบบในเมืองไทยได้ในปี 2566

“สทน.”จับมือ เอสซีจี ซิเมนต์ MOU ศึกษาแหล่งธาตุหายาก ดันเทคโนโลยีฟิวชัน

นายสมหวัง แม้นพิมลชัย ผู้อำนวยการธุรกิจซีเมนต์ภาคกลางและผู้นำบริหารการวิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ กลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจของเอสซีจีที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ดูแลสังคม และมีบรรษัทภิบาล ผ่านแนวทาง ESG 4 Plus (มุ่ง Net Zero – Go Green – Lean เหลื่อมล้ำ – ย้ำร่วมมือ – Plus เป็นธรรม โปร่งใส)  ตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนภายใต้แบรนด์ “CPAC Green Solution” เราเชื่อมั่นว่าการสร้างธุรกิจที่สร้างความยั่งยืนให้สังคมและประเทศทำได้จริง  แต่ต้องอาศัยการพัฒนาทางเทคโนโลยีเป็นฐานเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นต่อโลก  และความร่วมมือกับสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติในครั้งนี้ จะเป็นหนึ่งในกลไกการขับเคลื่อนนโยบายของประเทศด้วยการนำเทคโนโลยีมาส่งเสริมการสร้างสังคม Net Zero ไปพร้อมกับการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน

 

 


 “ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นระยะเวลา 5 ปี แต่ทั้ง 2 องค์กรเชื่อว่ายังมีงานวิจัยและพัฒนาด้านเทคโนโลยีนิวเคลียร์อื่น ๆ ที่อาจจะมีความร่วมมือเพิ่มเติมในอนาคต”