zero-carbon

“เอลนีโญ” ป่วนไทย "ภาคกลาง" เสี่ยงขาดแคลนน้ำ

“เอลนีโญ” ป่วนไทย โดยเฉพาะพื้นที่ "ภาคกลาง" คาดว่าจะเสี่ยงขาดแคลนน้ำ จากปัญหาฝนตกน้อย กำชับกรมชลประทานและการประปาส่วนภูมิภาค บริหารจัดการน้ำให้สมดุลทุกภาคส่วน

สถานการณ์ "เอลนีโญ"  ส่งผลกระทบไปทั่วโลก สำหรับประเทศไทยล่าสุด วันนี้ (31 ก.ค. 66) ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะรองผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ จ.ลพบุรี

ดร.ทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน รายงานสรุปสถานการณ์น้ำและการเพาะปลูกพืช สรุปมาตรการรับมือฤดูฝน ปี 2566 และแนวทางการบริหารจัดการน้ำ เพื่อรองรับสถานการณ์เอลนีโญ ณ โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาโคกกระเทียม พร้อมติดตามการบริหารจัดการน้ำระบบส่งน้ำคลองชัยนาท-ป่าสักฯ จากนั้น ติดตามแนวทางการบริหารจัดการน้ำของการประปาส่วนภูมิภาค สาขาลพบุรี

จากการติดตามปริมาณฝนสะสมในภาพรวมของประเทศตั้งแต่ช่วงต้นปีจนถึงปัจจุบัน ยังคงต่ำกว่าค่าปกติ รวมถึงปริมาณฝนในช่วงฤดูฝนของปีนี้ก็ยังคงต่ำกว่าค่าปกติเช่นกัน โดยเฉพาะใน "พื้นที่ภาคกลาง" ที่คาดว่าจะประสบปัญหาฝนตกน้อย โดยมีปริมาณฝนสะสมน้อยกว่าค่าปกติประมาณ 40% ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำ

เนื่องจากสภาวะเอลนีโญที่ยังคงส่งผลกระทบอยู่ ปัจจุบันมีปริมาณน้ำในแหล่งน้ำขนาดใหญ่ทั้งประเทศรวมกันอยู่ที่ 36,330 ล้าน ลบ.ม. (51%) โดยในพื้นที่ภาคกลางมีปริมาณน้ำอยู่ที่ 189 ล้าน ลบ.ม. (15%)

นอกจากนี้ กรมอุตุนิยมวิทยา และ สสน. คาดการณ์ว่า ในช่วงเดือน ส.ค.-ก.ย.นี้ ยังมีโอกาสที่จะมีพายุเข้าสู่ประเทศไทยได้ 1-2 ลูก ซึ่งจะเป็นผลดีต่ออ่างเก็บน้ำที่มีปริมาณน้ำน้อยที่จะเร่งกักเก็บน้ำให้ได้มากที่สุด เพื่อสำรองไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้งหน้า

 เลขาธิการ สทนช. กล่าวเพิ่มเติมว่า การลงพื้นที่ในครั้งนี้ ได้กำชับให้กรมชลประทานและการประปาส่วนภูมิภาค เคร่งครัดการบริหารจัดการน้ำอย่างสมดุลในทุกภาคส่วน วิเคราะห์และวางแผนอย่างรัดกุมให้มีความสอดคล้องกับความผันแปรของสภาพภูมิอากาศ เพื่อรองรับผลกระทบของเอลนีโญที่คาดจะลากยาวไปถึงปี 2567 อีกทั้งปริมาณน้ำในเขื่อนหลักมีไม่มากนัก

ทั้งเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควนน้อยบำรุงแดน และน้ำที่ส่งมาคลองชัยนาท-ป่าสักต้องมาจากแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งการบริหารจัดการน้ำจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค น้ำเพื่อรักษาระบบนิเวศ และน้ำเพื่อการเพาะปลูกสำหรับพืชไม้ผลยืนต้นเป็นหลัก พร้อมวางแผนการจัดสรรน้ำให้เหมาะสมกับปริมาณน้ำที่ไหลเข้าอ่างฯ เพื่อเตรียมรับมือภัยแล้งที่อาจเกิดขึ้นด้วย เนื่องจากภาคกลางน่าเป็นห่วงที่อาจเป็นพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ เพราะมีพื้นที่ทำการเกษตรค่อนข้างสูง

โดยเฉพาะการเพาะปลูกข้าวที่จะต้องใช้น้ำปริมาณมาก ปัจจุบันภาพรวมทั้งประเทศ ทั้งในและนอกเขตชลประทานเพาะปลูกข้าวไปแล้ว 43.43 ล้านไร่ จากแผน 59.94 ล้านไร่ ส่วนพื้นที่ 22 จังหวัดลุ่มน้ำเจ้าพระยา ทั้งในและนอกเขตชลประทานเพาะปลูกข้าวไปแล้ว 11.04 ล้านไร่ จากแผน 13.13 ล้านไร่ จึงขอให้กรมชลประทานประชาสัมพันธ์รณรงค์ขอความร่วมมือเกษตรกรงดปลูกข้าวนาปีต่อเนื่อง โดยหันไปปลูกพืชใช้น้ำน้อยที่สามารถเก็บเกี่ยวได้เร็ว

นอกจากนี้ มอบให้กรมชลประทานวางแผนและควบคุมการใช้น้ำให้เพียงพอถึงฤดูแล้วปี 2567 เพื่อ สทนช. จะได้นำไปประกอบการบูรณาการป้องกันและบริหารจัดการความเสี่ยง รวมทั้งเตรียมใช้เป็นพื้นที่รับน้ำหลากในช่วงฝนตกหนักนี้ และให้การประปาส่วนภูมิภาค พัฒนาและเตรียมแหล่งน้ำสำรองสำหรับการผลิตน้ำประปาเพื่อการอุปโภคบริโภคให้เพียงพอกับความต้องการของประชาชนด้วย

ด้านการประประส่วนภูมิภาค สาขาลพบุรี มีความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ภัยแล้งและน้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้น โดยได้ติดตามสถานการณ์น้ำและเฝ้าระวังระดับน้ำในคลองชัยนาท-ป่าสักอย่างต่อเนื่อง พร้อมควบคุมสถานีจ่ายน้ำให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้อย่างรัดกุม เตรียมการติดตั้งเครื่องสูบทอยน้ำ จำนวน 4 เครื่องให้พร้อมใช้งาน เตรียมทำนบกั้นน้ำเพื่อยกระดับน้ำในคลอง รวมถึงการเตรียมขุดลอกร่องน้ำคลองชัยนาท-ป่าสัก เพื่อชักน้ำเข้ามาที่เครื่องสูบทอยบริเวณประตูน้ำโคกกะเทียม และเตรียมนำน้ำจากแหล่งน้ำสำรองอ่างเก็บน้ำห้วยใหญ่ควบคู่กับการลดแรงดันในการจ่ายน้ำบางช่วงเวลา รวมทั้งร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นในการเตรียมรถบรรทุกน้ำและภาชนะใส่น้ำเพื่อเตรียมการแจกจ่ายให้กับประชาชนในพื้นที่ที่ประสบภัย

“กำชับให้ทุกหน่วยงานดำเนินการตาม 12 มาตรการรับมือฤดูฝนปี 2566 ควบคู่ต่อเนื่องไปด้วย ทั้งการเตรียมความพร้อมของเจ้าหน้าที่และเครื่องจักรเครื่องมือ เร่งซ่อมแซมบำรุงรักษาอาคารชลศาสตร์ ระบบระบายน้ำและโทรมาตรให้พร้อมใช้งาน เร่งกำจัดผักตบชวาและสิ่งกีดขวางทางน้ำต่างๆ รวมถึงการซักซ้อมแผนเผชิญเหตุและซักซ้อมการตั้งศูนย์ส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย ซึ่ง จ.ลพบุรี จะมีการฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุตั้งศูนย์ส่วนหน้าและสร้างความเข้มแข็งเครือข่ายภาคประชาชนในพื้นที่ภาคกลาง ในระหว่างวันที่ 3-4 ส.ค.นี้ ณ โรงแรม โอทู ลพบุรี เพื่อเตรียมรับมือทั้งสถานการณ์อุทกภัยและภัยแล้งได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป” เลขาธิการ สทนช. กล่าว