เศรษฐกิจ-ท่องเที่ยวฟื้นดันความต้องการใช้พลังงานปี 66 โต 2.7%

09 ธ.ค. 2565 | 05:56 น.

เศรษฐกิจ-ท่องเที่ยวฟื้นดันความต้องการใช้พลังงานปี 66 โต 2.7% สนพ.เผย 9 เดือนปี 65 ยอดใช้พลังงานขั้นต้นเพิ่ม 3%

นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า แนวโน้มความต้องการใช้พลังงานของประเทศปี 2566 คาดว่าจะมีการใช้พลังงานเพิ่มขึ้น 2.7% จากความต้องการเดินทางที่มีแนวโน้มกลับมาเป็นปกติมากขึ้นทั้งการเดินทางภายในประเทศและการเดินทางระหว่างประเทศ รวมทั้งการขยายตัวของการลงทุนทั้งการลงทุนภาคเอกชนและภาครัฐ 

 

โดยการใช้น้ำมันคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 4.2% ก๊าซธรรมชาติคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ 1.8% การใช้ถ่านหิน/ลิกไนต์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.1% และการใช้ไฟฟ้าพลังน้ำและไฟฟ้านำเข้า คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 4.4%

 

อย่างไรก็ตามในส่วนของสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศไทย และแนวโน้มความต้องการพลังงานในปี 2566 ยังคงมีปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด อาทิ การชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศหลักที่จะส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตและภาคการส่งออก สถานการณ์ความไม่สงบระหว่างรัสเซียและยูเครน 

 

และมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดและอนุญาตให้มีการเดินทางระหว่างประเทศของประเทศจีน (ZERO COVID-19) ซึ่งกระทรวงพลังงานจะติดตามและบริหารนโยบายพลังงานในช่วงวิกฤติราคาพลังงานอย่างใกล้ชิดเพื่อหาแนวทางและมาตรการในการช่วยเหลือประชาชนในช่วงวิกฤติพลังงานต่อไป

สำหรับสถานการณ์พลังงานในช่วง 9 เดือนของปี 2565 พบว่าการใช้พลังงานขั้นต้นเพิ่มขึ้น 3% จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มีแนวโน้มที่ดีขึ้น รวมถึงมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด–19 ที่มากขึ้น 

 

ทั้งนี้ ในส่วนของการใช้พลังงานขั้นสุดท้ายเพิ่มขึ้น 11.4% ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นในเกือบทุกประเภทพลังงาน โดยเฉพาะการใช้น้ำมันสำเร็จรูปในส่วนของน้ำมันเครื่องบินมีการใช้เพิ่มขึ้นถึง 80.1% จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและบริการ 

 

สนพ.คาดแนวโน้มความต้องการใช้พลังงานปี 66 เพิ่มขึ้น 2.7%

สำหรับการใช้ไฟฟ้ามีการใช้เพิ่มขึ้นในเกือบทุกสาขาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะสาขาธุรกิจ เพิ่มขึ้น 11.6% ซึ่งปรับตัวดีขึ้นจากการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวและบริการ รวมทั้งการที่หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนได้ให้บุคลากรกลับไปทำงานที่สำนักงานตามปกติหลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลายลง ซึ่งสถานการณ์พลังงานรายเชื้อเพลิงในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 สรุปได้ดังนี้

 

การใช้น้ำมันสำเร็จรูป เพิ่มขึ้น 16.1% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของการใช้น้ำมันเครื่องบิน น้ำมันเตา น้ำมันดีเซล LPG (ไม่รวมที่ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี) และน้ำมันเบนซิน 80.1% ,18.9% ,18.5% ,7.6% และ 5.4%

ส่วนการใช้น้ำมันก๊าดลดลง 8.1% โดยการใช้น้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 18.5% อยู่ที่ระดับ 72 ล้านลิตรต่อวัน การใช้น้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล เพิ่มขึ้น 5.4% อยู่ที่ระดับ 30 ล้านลิตรต่อวัน สำหรับการใช้น้ำมันเครื่องบินเพิ่มขึ้น 80.1% อยู่ที่ระดับ 8 ล้านลิตรต่อวัน ด้านน้ำมันเตา เพิ่มขึ้น 18.9% อยู่ที่ระดับ 6 ล้านลิตรต่อวัน โดยส่วนใหญ่เป็นการใช้ในภาคขนส่งและภาคอุตสาหกรรม

 

ด้านการใช้ไฟฟ้า เพิ่มขึ้น 4.4% มีการใช้รวมทั้งสิ้น 149,972 กิกะวัตต์ชั่วโมง โดยการใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่ 45% อยู่ในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งมีการใช้เพิ่มขึ้น 3.9% จากเศรษฐกิจที่ขยายตัวมากขึ้นทำให้เกิดการผลิตสินค้าที่เพิ่มขึ้น รองลงมา คือ การใช้ไฟฟ้าในภาคธุรกิจ มีสัดส่วน 23% และมีการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 11.6% ซึ่งมาจากการที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มีแนวโน้มดีขึ้น 

 

"ความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดของระบบ 3 การไฟฟ้าของปี 2565 เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2565 เวลา 14:30 น. อยู่ที่ระดับ 33,177 เมกกะวัตต์ เพิ่มขึ้น 6.9% เมื่อเทียบกับความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดในระบบ 3 การไฟฟ้าของปีก่อน

 

นายวัฒนพงษ์ กล่าวอีกว่า สำหรับแนวโน้มความต้องการใช้พลังงานของประเทศปี 2565 คาดว่าจะความต้องการพลังงานขั้นต้นอยู่ที่ระดับ 2,056 พันบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้น 3.2% เมื่อเทียบกับปี 2564 สอดคล้องกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัว 

 

อย่างไรก็ดี คาดการณ์ว่าปี 2565 จะมีการใช้พลังงานจะเพิ่มขึ้นเกือบทุกประเภท ยกเว้นก๊าซธรรมชาติที่ได้รับผลกระทบจากการผลิตภายในประเทศที่ลดลง และผลกระทบจากราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบระหว่างรัสเซียและยูเครน สำหรับการใช้น้ำมันคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 14.9% การใช้ก๊าซธรรมชาติคาดว่าจะลดลง 9.1% การใช้ถ่านหิน/ลิกไนต์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 7.1% ส่วนการใช้ไฟฟ้าพลังน้ำและไฟฟ้านำเข้า คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 14.7%