สภาอุตฯตั้งสเปกสูง ว่าที่รัฐบาลใหม่ พร้อมรับมือสารพัดความท้าทาย

26 ก.พ. 2566 | 02:58 น.

“เกรียงไกร” ประธานสภาอุตฯ ระบุสเปก รัฐบาลใหม่ต้องสตรอง พร้อมรับมือสารพัดปัญหา ท่ามกลางบริบทใหม่ที่เป็นความท้าทายของไทยและของโลก ทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เทคโนโลยี จี้เร่งแก้ไขปัญหาปากท้อง ปรับโครงสร้างศก.จริงจัง ลดเหลื่อมล้ำ สานต่อ BCG เพิ่มขีดแข่งขัน

นายเกรียงไกร  เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ให้สัมภาษณ์กับสื่อเครือเนชั่น และ “ฐานเศรษฐกิจ”ถึงความคาดหวังต่อการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ที่จะมีขึ้นในเดือนพฤษภาคมนี้ว่า ภาคเอกชนมีความคาดหวังอันดับแรกคือ อยากได้รัฐบาลที่มีความแข็งแรงและมีความมั่นคง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเพราะเรื่องความเชื่อมั่นหรือความมั่นใจ ทำให้นักธุรกิจทั้งหลายกล้าที่จะตัดสินใจลงทุน และกล้าที่จะเดินหน้าต่อ

ดังนั้นหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลใหม่ที่กำลังจะเข้ามาบริหารประเทศจะพร้อมรับมือสิ่งต่าง ๆ  ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก และบริบทใหม่ของโลก ทั้งการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ(Climate Change) ซึ่งเป็นภัยและความท้าทายที่มวลมนุษย์ชาติกำลังเผชิญอยู่ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของภูมิรัฐศาสตร์(Geopolitics) หรือการเมืองระหว่างประเทศที่จะส่งผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของทิศทางการค้าขายทั่วโลก

เกรียงไกร  เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

สภาอุตฯตั้งสเปกสูง ว่าที่รัฐบาลใหม่ พร้อมรับมือสารพัดความท้าทาย

“รัฐบาลที่จะเข้ามาต้องมีความพร้อม และต้องมีทีมงานที่ดีในการเตรียมตัวเพื่อรองรับในการวางแผนที่ดีในการรับมือและแก้ไขปัญหาข้างต้น รวมถึงในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ในการที่จะยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รวมทั้งการลดความเหลื่อมล้ำ ซึ่งทั้งหมดเป็นปัญหาใหญ่ ๆ ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้”

นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า สำหรับปัญหาที่อยากให้รัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาได้เร่งแก้ไขเป็นลำดับต้น ๆ  ได้แก่ การแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน เพราะเวลานี้ต้องยอมรับว่าภายใต้สถานการณ์เงินเฟ้อ และราคาพลังงานยังสูงทั่วโลกที่ยังคงอยู่ วันนี้ประชาชนมีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย ดังนั้นเรื่องปากท้อง เรื่องค่าครองชีพเป็นสิ่งที่สำคัญ

สภาอุตฯตั้งสเปกสูง ว่าที่รัฐบาลใหม่ พร้อมรับมือสารพัดความท้าทาย

เรื่องที่สองที่อยากให้เร่งแก้ไขคือ โครงสร้างเศรษฐกิจ อยากให้รัฐบาลมีความจริงจังในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Ease of Doing Business ขอให้มีความง่ายในการทำธุรกิจ โดยกฎหมายที่มีความล้าสมัยต้องยกเลิกหรือปรับปรุงให้มีความทันสมัย

ต่อข้อถามที่ว่ามีนโยบายอะไรที่จะสามารถสานต่อในรัฐบาลใหม่ได้นั้น นายเกรียงไกร กล่าวว่า มีหลายเรื่อง เช่น รัฐบาลปัจจุบันมีการประกาศ  BCG (Bio-Green-Circular Economy Model) เป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งสอดคล้องกับโลกที่คุยกันในเวลานี้ในเรื่องความยั่งยืน เรื่องของพลังงานสะอาด และพลังงานสีเขียว สิ่งเหล่านี้ไทยวางผังหรือวางแผนเริ่มต้นไว้ได้ดีแล้ว อยากให้รัฐบาลต่อ ๆ ไป อะไรที่เป็นนโยบายที่ดีก็ให้เดินหน้าต่อ และเดินให้จริงจัง และเดินให้สุด ๆ  เพื่อที่ไทยจะได้เป็นผู้นำในนโยบายที่ได้วางไว้อย่างจริงจัง และเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง

สภาอุตฯตั้งสเปกสูง ว่าที่รัฐบาลใหม่ พร้อมรับมือสารพัดความท้าทาย

สำหรับนโยบายประชานิยม เช่น คนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน ควรจะคงไว้หรือนั้น ในเรื่องนโยบายประชานิยมนี้ ในอนาคตถ้ามีการปรับโครงสร้างที่ดีก็จะช่วยลดการใช้นโยบายเหล่านั้นมาใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะเป็นนโยบายที่ใช้ชั่วคราว และใช้เมื่อคราวจำเป็น แต่ถ้าใช้บ่อย ๆ อาจจะไม่เป็นผลดีเท่าใดในระยะยาว

แต่สิ่งที่จะเป็นผลดีในระยะยาวที่แท้จริงคือ การที่ช่วยให้ประชาชนสามารถช่วยตัวเองได้มาก โดยภาครัฐเป็นผู้เตรียมระบบนิเวศ(Ecosystem)ที่ดี เพื่อให้ประชาชนมีโอกาสเข้าถึงในการสร้างตัว ในการหาธุรกิจ และอาชีพใหม่ เสริมและช่วยเขาให้แข็งแรงอย่างแท้จริง เพื่อให้ช่วยตัวเองได้ และจะเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปพร้อม ๆ กัน