อสังหาฯ บุกตลาด EV Charging แสนสิริ ทุ่ม 600 ล. ลุยติดตั้ง 1,500 เครื่อง

27 ก.ย. 2564 | 05:25 น.

SHARGE เผย ตลาดติดตั้ง EV Charging ในโครงการที่อยู่อาศัยไทย โตแรง 30 -100% ต่อปี รับเทรนด์กระแสรถไฟฟ้าบูม ขณะแสนสิริ พลิกวงการ ทุ่ม 500-600 ล. วางเป้า 3 ปี ติดตั้ง 1,500 เครื่องในโครงการที่อยู่อาศัยเกรดB

นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)  หรือ SIRI เปิดเผยว่า บริษัทยังคงสานต่อนโยบายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนมอนออกไซด์ เฉลี่ย 2,120 ตัน หรือ เทียบเท่าป่าสีเขียวกว่า 1,700 ไร่ ภายใต้โปรเจ็กต์ Sansiri Sustainability Mission โดยเฉพาะการเป็นผู้นำในการติดตั้งเครื่องชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า (EV Charging) ให้กับบ้านในโครงการของแสนสิริ เพื่อให้สอดคล้องกับเทรนด์ของโลกที่จะขับเคลื่อนด้วย EV 

 

ดังจะเห็นได้จาก business-standard.com ได้เผยข้อมูลว่าอังกฤษเป็นประเทศแรกที่จะมีกฎหมายกำหนดให้บ้านและสำนักงานที่สร้างใหม่ต้องมีการติดตั้งเครื่องชาร์จ EV และคาดว่าจะบังคับใช้ภายในปี 2565 เพื่อสร้างความมั่นใจให้ชาวอังกฤษเปลี่ยนไปใช้รถ EV ได้อย่างไม่มีสะดุด หลังจากที่อังกฤษประกาศห้ามจำหน่ายรถยนต์สันดาปในปี 2573

 

จากเทรนด์การเปลี่ยนแปลงของโลก ในปี 2562 แสนสิริ จึงได้เข้าร่วมเป็น Strategic Partner กับ ชาร์จ แมเนจเม้นท์ (SHARGE)  เพื่อขยายโซลูชั่นในการอำนวยความสะดวกลูกบ้านในการใช้รถพลังงานไฟฟ้าและการเข้าถึงสถานีชาร์จ ด้วยการติดตั้ง EV Charging Station ในโครงการที่อยู่อาศัยของแสนสิริ นำร่องโครงการคอนโดมิเนียมจำนวน 95 หัวชาร์จ (50 เครื่อง) ใน 28 โครงการ 

อสังหาฯ บุกตลาด EV Charging  แสนสิริ ทุ่ม 600 ล. ลุยติดตั้ง 1,500 เครื่อง

" ล่าสุด แสนสิริ และ SHARGE เดินหน้าร่วมสร้างปรากฎการณ์แห่งอนาคต กำหนดเป็นโรดแมป 3 ปี (2565-2567) โดยกำหนดเป้าหมายขยายการติดตั้ง EV Charging Station ให้ครอบคลุมโครงการแนวสูงที่เปิดใหม่ และโครงการแนวราบในระดับเซ็กเมนต์ B ขึ้นไปทุกโครงการ ภายใต้งบลงทุน      65 ล้านบาท หรือการติดตั้งเครื่องชาร์จ EV ราว 1,500 เครื่อง ภายใน 3 ปี "

โดยโครงการบ้านเดี่ยวในเซ็กเมนต์ B ขึ้นไป จะได้รับพริวิลเลจพิเศษ เป็นเครื่องชาร์จ ABB Terra AC Wallbox (Normal Charge) นำเข้าโดย SHARGE ที่สามารถชาร์จได้เร็วถึง 4-8 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับขนาดรถ)  ซึ่งการสร้างปรากฎการณ์ใหม่ให้กับที่อยู่อาศัยในครั้งนี้สอดคล้องกับการสำรวจพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่และผู้อยู่อาศัยแสนสิริในเซกเมนต์ B ขึ้นไป ที่พบว่าเป็นคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จเร็ว (Young Success) และมีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวีตแบบยั่งยืน คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม บางส่วนเป็นเจ้าของรถ EV หรือกำลังมองหารถ EV เพื่อใช้ในอนาคต  

อสังหาฯ บุกตลาด EV Charging  แสนสิริ ทุ่ม 600 ล. ลุยติดตั้ง 1,500 เครื่อง

ทั้งนี้ผลสำรวจของแสนสิริสอดคล้องกับข้อมูลจากศูนย์วิจัยความเป็นอยู่ ฮาคูโฮโด อาเซียน ที่ระบุว่าจากการสำรวจคนรุ่นใหม่ในประเทศไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น พบว่า 86% ให้ความใส่ใจสังคม-สิ่งแวดล้อมมาเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างจริงจัง 80% ให้ความสำคัญกับแบรนด์ที่ใส่ใจสังคม-สิ่งแวดล้อม และ 81% ระบุว่า เต็มใจจ่ายแพงขึ้น เพื่อให้ได้สินค้าสำหรับวิถีชีวิตที่ใส่ใจสังคมและสิ่งแวดล้อม 

 

บริษัท ได้จัดเตรียมงบประมาณสำหรับการลงทุนในระยะ 3 ปี ที่ราว 500-600 ล้านบาท จากราคาหัวชาร์จเฉลี่ย 6 - 7 หมื่นบาทต่อหัว อย่างไรก็ตาม คาดในอนาคต จากความต้องการที่มีมากขึ้น เทคโนโลยีใหม่ ๆ ถูกพัฒนาเพื่อตอบโจทย์ อาจทำให้มีราคาถูกลง และสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับโครงการในเซกเม้นท์ระดับอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นโครงการคอนโดมิเนียม หรือ โครงการบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม ในระดับราคาเข้าถึงได้เช่นกัน 

" ย้อนไป 5 ปีที่แล้ว ลูกบ้านในโครงการแสนสิริ มีรถยนต์ไฟฟ้า ไม่ถึง 10 คัน แต่ขณะนี้นับ 100 คัน หรือ มองไปบนท้องถนน ก็เห็นมากขึ้น เนื่องจากแบรนด์จีน ยุโรป และเกาหลี เข้ามาบุกตลาดในไทยอย่างต่อเนื่อง ในอนาคตอาจได้เห็นรถยนต์ไฟฟ้าราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท ดึงดูดดีมานด์ความต้องการใช้ มีความเป็นไปได้ ที่ในอนาคตจะขยายการติดตั้งหัวชาร์ตไปยังโครงการระดับอื่นๆ เช่น ดีคอนโดฯ ,เดอะ เบส หรือ โครงการทาวน์เฮ้าส์ - ทาวน์โฮม ราคา 2-3 ล้านบาท เป็นต้น " 

อสังหาฯ บุกตลาด EV Charging  แสนสิริ ทุ่ม 600 ล. ลุยติดตั้ง 1,500 เครื่อง

ด้าน นายพีระภัทร ศิริจันทโรภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาร์จ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SHARGE) ผู้นำด้านการสร้าง EV Charging Ecosystem เปิดเผยว่า ขณะนี้เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงเติบโตอย่างชัดเจน ในดีมานด์ของโครงการที่อยู่อาศัย ซึ่งจากความร่วมมือของพาร์ทเนอร์อสังหาฯ เช่น แสนสิริ พฤกษา ไรมอนแลนด์  มียอดติดตั้งในคอนโดฯ ราว  200 หัวชาร์ตต่อปี โดยเทรนด์ รถยนต์ EV ที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นในไทย ทำให้มีความต้องการใช้หัวชาร์จอย่างปลอดภัยมากขึ้นตามไปด้วย ประเมินอัตราการเติบโตแค่ในกลุ่มคอนโดฯ ประมาณ 30-100% ต่อปี ขณะโรดแมปใหม่ ที่ตั้งเป้าความการร่วมมือกับแสนสิริ ในโครงการบ้านด้วยนั้น น่าจะทำให้บริษัทมีการเติบโตอย่างชัดเจน ปลุกกระแสความสนใจของอสังหาฯรายอื่นๆ ตามมาเช่นกัน 

 

" ปัจจัยบวกของตลาดรถยนต์ EV ในไทย หลักๆยังมาจากแรงผลักดันของรัฐบาลต่างประเทศ เช่น รัฐบาลยุโรป ที่ส่งเสริมพลังงานสะอาด บูมธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า ผ่านการตั้งเกณฑ์ค่าปรับ ทำให้ค่ายยุโรปต่างๆ เริ่มปรับตัว และหันมาขยายการลงทุนมากขึ้น ไทยเองก็จะได้รับซัพพลายจากราคาที่ถูกลง ขณะ ปัจจัยลบ ยังคงมาจากเรื่องภาษีนำเข้าของไทย ที่ค่อนข้างสูง ทำให้ภาพเป้าหมาย ว่า รถยนต์ EV เป็นรถประหยัด ไม่เกิดขึ้น จากค่าแรกเข้า ค่าภาษีที่สูงมาก ส่งผลในประเทศไทย ยังมีข้อจำกัดในการเติบโตของตลาดนี้ " 


นายพีระภัทร กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับจุดแข็งที่สำคัญของ SHARGE คือ การมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งจากหลากหลายอุตสาหกรรม และการได้เข้าร่วมเป็น Strategic Partner กับแสนสิริ ที่เล็งเห็นเทรนด์การเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้ EV ตลอดจนไลฟ์สไตล์ของลูกบ้านที่ต้องการชาร์จรถที่บ้าน ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับโรดแมปของประเทศที่ภาครัฐให้การสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ EV เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนหันมาเปลี่ยนแปลงการใช้ EV มากขึ้น 

 

โรดแมป 5 ปี ของ SHARGE ที่ตั้งเป้าหมายดำเนินผ่านกลยุทธ์ ‘LIFESTYLE CHARGING ECOSYSTEM: NIGHT, DAY, ON-THE-GO’ เพื่อเติมเต็มไลฟ์สไตล์และอำนวยคามสะดวกในการใช้ชีวิตของลูกค้าอย่างยั่งยืน ควบคู่กับการใช้รถพลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย โดยร่วมมือกับภาคอสังหาริมทรัพย์ (ผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยและศูนย์การค้า) ผู้ประกอบการรถยนต์ และธุรกิจพลังงาน สร้างระบบนิเวศที่เน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายตามพฤติกรรมของผู้บริโภค 3 กลุ่ม ประกอบด้วย

 

• NIGHT: กลุ่มผู้ใช้บริการชาร์จที่เน้นการชาร์จที่บ้าน ซึ่งกลุ่มนี้จะมีสัดส่วนสูงสุดหรือคิดเป็น 80% ของผู้ใช้รถ EV ทั้งหมด เพราะจากการศึกษาพฤติกรรมผู้ใช้งานรถ EV ในสหรัฐ จีน และยุโรป พบว่า ส่วนใหญ่จะนิยมชาร์จที่บ้านในเวลากลางคืน เพราะสะดวกและเหมาะกับไลฟ์สไตล์ประจำวันที่คนส่วนใหญ่จะจอดรถไว้บ้านในเวลากลางคืน รวมถึงการชาร์จตามบ้านมีต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ถูกกว่า

 

•DAY: กลุ่มผู้ใช้บริการชาร์จที่เน้นการชาร์จที่จุดหมายปลายทาง เช่น การชาร์จตามศูนย์การค้า แหล่งไลฟ์สไตล์ต่างๆ สถานศึกษา และอาคารสำนักงาน           โดยกลุ่มนี้จะมีสัดส่วนอยู่ที่ 15%

 

•ON THE GO: กลุ่มผู้ใช้บริการชาร์จที่เน้นการชาร์จที่ต้องการชาร์จตามสถานีชาร์จระหว่างการเดินทางข้ามจังหวัด หรือการท่องเที่ยว ซึ่งกลุ่มนี้จะมีสัดส่วนน้อยที่สุดคือ 5% ของจำนวนผู้บริโภคทั้งหมด

 

" ความร่วมมือในครั้งนี้แสนสิริและ SHARGE ไม่ได้หวังเพียงแค่การเติบโตและความสำเร็จทางธุรกิจเท่านั้น แต่ต้องการสร้างโมเดลในการปฏิรูปวงการที่อยู่อาศัยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงกว้าง และเป็นการสนับสนุนให้การใช้รถ EV ในประเทศไทยเติบโตได้จริงในระยะเวลารวดเร็ว เพราะปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลให้คนส่วนใหญ่ตัดสินใจเปลี่ยนไปใช้รถ EV หรือไม่นั้น การเข้าถึงหัวชาร์จ เป็นหัวใจสำคัญ หากภาคอสังหาริมทรัพย์เข้ามาร่วมสนับสนุนเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ เชื่อว่าจะทำให้ผู้ใช้รถตัดสินใจเปลี่ยนไปใช้ EV ได้ง่ายขึ้น และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อสิ่งแวดล้อมที่เร็วขึ้น "