EICชี้ผลแผลเป็นเศรษฐกิจ 3ด้านหั่นคาดการณ์จีดีพีเหลือโต 0.7%

15 ก.ย. 2564 | 06:04 น.

ไอซีชี้ผลจากแผนเป็น 3ด้าน “ภาคธุรกิจ-แรงงงาน-หนี้ครัวเรือน” เสนอรัฐอัดฉีดเงินเยียวยา ฟื้นฟูเฉพาะไตรมาส4น่าจะใช้เงิน 2แสนล้านห่วงจีดีพีต่ำกว่าคาด

อีไอซีชี้ผลจากแผนเป็น 3ด้าน “ภาคธุรกิจ-แรงงงาน-หนี้ครัวเรือน” เสนอรัฐอัดฉีดเงินเยียวยา ฟื้นฟูเฉพาะไตรมาส4น่าจะใช้เงิน 2แสนล้านห่วงจีดีพีต่ำกว่าคาด ระบุรัฐบาลยังมีรูมกู้เงินเพิ่ม 5แสนล้านถึง 1ล้านล้านบาทเพื่อฟื้นฟูและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจรับโลกหลังโควิด

EICชี้ผลแผลเป็นเศรษฐกิจ 3ด้านหั่นคาดการณ์จีดีพีเหลือโต 0.7%

ดร.ยรรยง ไทยเจริญ    รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มงาน Economic Intelligence Center ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)  ระบุว่า แม้เศรษฐกิจจะยังไม่ฟื้นตัวดีนักด้านเศรษฐกิจไทย EIC ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปี 2564 เหลือ 0.7% จากเดิมที่คาดไว้ที่ 0.9% โดยมีสาเหตุหลักจากผลของการระบาดในประเทศรอบล่าสุดที่รุนแรงมากกว่าคาด ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวมีแนวโน้มเดินทางเข้าไทยน้อยกว่าเดิมตามความกังวลที่เพิ่มขึ้นจากสถานการณ์ระบาดในประเทศ สะท้อนได้จากหลายประเทศที่มีการประกาศให้ไทยเป็นประเทศความเสี่ยงสูงด้านการระบาด COVID-19 เช่น สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร จึงมีการปรับลดคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวเหลือ 1.7 แสนคน (เดิมคาด 3 แสนคน)

นอกจากนี้ การใช้จ่ายของภาคเอกชนก็ได้รับผลกระทบหนักจากการระบาดในประเทศและมาตรการ lockdown เช่นกัน สะท้อนจากดัชนีการบริโภคภาคเอกชนเดือนกรกฎาคมที่หดตัวถึง -8.1%YOY รวมถึงการลงทุนก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการปิดแคมป์คนงานในช่วงเดือนกรกฎาคม โดยแม้ว่าจะกลับมาดำเนินการได้แล้ว แต่มาตรการ Bubble and seal ก็ทำให้ต้นทุนการดำเนินงานสูงขึ้นและทำงานได้ไม่เต็มศักยภาพ

 

ทั้งนี้คาดว่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจในประเทศจากการระบาดจะมีมากสุดในช่วงไตรมาส 3 ก่อนจะเริ่มฟื้นตัวได้ในช่วงต้นไตรมาส 4 จากแนวโน้มการฉีดวัคซีนครบโดสของประชากรที่จะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เป็นผลดีต่อความเชื่อมั่นและการกลับมาดำเนินการของกิจกรรมเศรษฐกิจ

 

EICชี้ผลแผลเป็นเศรษฐกิจ 3ด้านหั่นคาดการณ์จีดีพีเหลือโต 0.7%

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 4 แต่ EIC ก็คาดว่า GDP ไทยในช่วงครึ่งหลังของปี จะติดลบแบบ %YOY ทั้งสองไตรมาส สะท้อนผลกระทบที่รุนแรงของการระบาดที่ยืดเยื้อต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจ

EICชี้ผลแผลเป็นเศรษฐกิจ 3ด้านหั่นคาดการณ์จีดีพีเหลือโต 0.7%          

อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยปี 2564 ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคส่งออกและเม็ดเงินภาครัฐ โดยภาคส่งออกของไทยยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง แต่อัตราเติบโตจะชะลอลงในช่วงที่เหลือของปี จากฐานของปีก่อนหน้าที่สูงขึ้น ประกอบกับเศรษฐกิจโลกที่มีการสะดุดตัวจากการระบาดของสายพันธุ์เดลตาทั่วโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจประเทศกำลังพัฒนาในอาเซียน อีกทั้ง ปัญหาด้าน Supply chain disruption ที่อาจเกิดขึ้นจากทั้งการปิดโรงงานในประเทศ และการหยุดการผลิตในประเทศคู่ค้าที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิตเดียวกัน

ในส่วนของภาครัฐ ยังมีการเบิกจ่ายต่อเนื่องจากทั้งในงบประมาณและจากหลายมาตรการช่วยเหลือ แต่มาตรการที่มียังไม่เพียงพอ ทั้งใน 1.เชิงพื้นที่ที่ช่วยเหลือรายได้นายจ้างและลูกจ้างเพียง 29 จังหวัดที่โดน lockdown ขณะที่ผลกระทบกระจายตัวไปยังทั่วประเทศ 2. เชิงระยะเวลาที่ช่วยเหลือรายได้เพียง 1-2 เดือน ขณะที่ผลกระทบลากยาวอย่างน้อย 6 เดือนตั้งแต่เดือนเมษายน และ 3. เชิงเม็ดเงินที่มีมาตรการช่วยเหลือจากการโอนเงินโดยตรงเพียง 2 แสนล้านบาท

EICชี้ผลแผลเป็นเศรษฐกิจ 3ด้านหั่นคาดการณ์จีดีพีเหลือโต 0.7%

ขณะที่ EIC ประเมินผลกระทบการระบาดรอบ 3 มีมากถึง 8.5 แสนล้านบาท ดังนั้น EIC จึงคาดว่าภาครัฐจะต้องออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อพยุงเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี โดยจะเป็นการใช้เม็ดเงินจนหมด พรก. กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท และอีก 2 แสนล้านบาท จาก พรก. กู้เงิน 5 แสนล้านบาท และกรณีเลวร้ายอาจเห็นจีดีพี-0.5% ในปีนี้ หากเกิดการระบาดอีกระลอกจนต้องคุมเข้มอีกครั้ง

 

 

สำหรับปี 2565 EIC คาดเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ที่ 3.4% จากการฟื้นตัวจากทั้งอุปสงค์ภายในและนอกประเทศ ตามความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนที่มากขึ้น โดยอัตราการฉีดวัคซีนที่มากขึ้นทั่วโลกในปีหน้าจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะประเทศกำลังพัฒนาที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัวเร่งขึ้นจากปีก่อน ซึ่งทำให้การส่งออกไทยยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องแต่ในอัตราที่ชะลอลงมาที่ 4.7%

 

นอกจากนี้ ภาคท่องเที่ยวระหว่างประเทศก็มีแนวโน้มฟื้นตัวเช่นกัน โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยเพิ่มขึ้นเป็น 6.3 ล้านคน ด้านเศรษฐกิจในประเทศ มีแนวโน้มฟื้นตัวเช่นกันจากอัตราการฉีดวัคซีนที่คืบหน้า โดยในช่วงไตรมาสแรกปี 2565 อาจมีผู้ได้รับวัคซีนครบโดสถึง 70-80% ของประชากร ซึ่งส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของกิจกรรมเศรษฐกิจ

สำหรับภาครัฐ แม้การใช้จ่ายบริโภคจะมีแนวโน้มหดตัวตามกรอบงบประมาณที่ลดลง แต่การลงทุนภาครัฐยังมีแนวโน้มขยายตัวจากเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจในโครงการเมกะโปรเจกต์และอัตราเบิกจ่ายปี 2564 ที่ต่ำจากมาตรการปิดแคมป์คนงานที่จะกลับมาเร่งตัวในปีหน้า นอกจากนี้ ยังคาดว่าภาครัฐจะใช้เงินที่เหลือราว 3 แสนล้านบาทจาก พรก. กู้เงิน 5 แสนล้านบาทเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจเพิ่มเติมในปี 2565

“EIC ปรับลดคาดการณ์จีดีพีปีนี้เหลือ 0.7%และปีหน้าบวก 3.4% เพราะผลจากแผนเป็น 3ด้านคือ ภาคธุรกิจ ,แรงงานและหนี้ครัวเรือน นอกจากนี้อนาคตไทยหลังโควิดยังมีความท้าทาย หากไม่ปรับวิธีบริหารจัดการอัตราการเติบโตของจีดีพีจะอยู่ที่ (Lost Decade)  ระดับ 1-2% แต่เป้าหมายจีดีพีควรจะไป Renewed Progress คืออยู่ที่4-5% ซึ่งภาครัฐยังมีรูมใช้เงินเพื่อเยียวยา  ฟื้นฟูและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจถ้ากู้เพิ่ม 5แสนถึง 1ล้านล้านบาทแม้เพดาหนี้สาธารณะต่อจีดีพีจะขยับเป็น 66%หรือมากกว่านั้น ประเด็นสำคัญคือ ต้องใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ”

แม้เศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้ในปี 2565 แต่ก็จะเป็นการฟื้นตัวแบบช้า ๆ เนื่องจากผลของแผลเป็นเศรษฐกิจ โดยแผลเป็นในภาคธุรกิจที่การเปิดกิจการยังมีการหดตัวสูงเมื่อเทียบกับช่วงก่อน COVID-19 โดยเฉพาะกลุ่มโรงแรม ยานยนต์ และอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่กิจการที่เปิดใหม่ในระยะหลังมักมีขนาดเล็กและอยู่ในสาขาที่มีการลงทุนน้อยกว่าโดยเปรียบเทียบ  เช่น ภาคเกษตร และร้านอาหาร การลดลงของจำนวนกิจการใหม่ในภาพรวมและลักษณะของกิจการเปิดใหม่ที่เปลี่ยนไปจะเป็นข้อจำกัดในการขยายตัวต่อการลงทุนและการจ้างงานในระยะข้างหน้า

นอกจากนี้ แผลเป็นยังเกิดขึ้นในตลาดแรงงาน สะท้อนจากอัตราการว่างงานช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ที่อยู่ในระดับสูงต่อเนื่องที่ราว 1.9% เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจากในช่วงก่อน COVID-19

สำหรับผู้ที่ยังมีงานทำอยู่ก็มีรายได้เฉลี่ยลดลง จากการลดลงของจำนวนชั่วโมงการทำงานที่ทำให้รายได้โอทีและโบนัสหดตัวลงมาก อีกทั้ง แรงงานยังมีการเคลื่อนย้ายไปในงานที่รายได้ต่ำลงอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการย้ายไปทำงานในภาคธุรกิจที่ค่าแรงเฉลี่ยต่ำลง  หรือการเปลี่ยนจากลูกจ้างเป็นประกอบอาชีพอิสระซึ่งมีรายได้ต่ำกว่า โดยสภาวะตลาดแรงงานที่ซบเซานี้จะบั่นทอนความสามารถของภาคครัวเรือนในการหารายได้และการบริหารจัดการหนี้ที่อยู่ในระดับสูงซึ่งคาดว่าหนี้ครั้วเรือนมีแนวโน้มปรับเพิ่มเป็น 92%ซึ่งน่าจะยังเป็นหนึ่งในภาระหนักของภาคครัวเรือนไทยต่อเนื่องในระยะปานกลาง

EICชี้ผลแผลเป็นเศรษฐกิจ 3ด้านหั่นคาดการณ์จีดีพีเหลือโต 0.7%

 ดังนั้น ภาครัฐควรพิจารณากู้เงินเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจเพิ่มเติมเพื่อลดขนาด Output loss และแผลเป็นเศรษฐกิจเพื่อไม่ให้กระทบศักยภาพของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า โดยจากการคำนวณของ EIC พบว่าแม้เศรษฐกิจจะเติบโตที่ 3.4% ในปี 2565 แต่ก็ยังต่ำกว่าระดับศักยภาพมาก จึงทำให้มี output loss  ในระดับสูงและผลของแผลเป็นเศรษฐกิจที่ลึกขึ้น โดยกว่าเศรษฐกิจไทยจะกลับไปอยู่ในระดับปี 2562 จะต้องรอถึงช่วงกลางปี 2566

 

ทั้งนี้การปล่อยให้เศรษฐกิจอยู่ในระดับต่ำกว่าศักยภาพหรือมีแผลเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่เป็นเวลานาน จะส่งผลเสียระยะยาวต่อเศรษฐกิจไทย ผ่าน 1.จำนวนธุรกิจที่ต้องปิดกิจการมากขึ้น ทำให้การจ้างงานและการลงทุนลดลงมาก กระทบต่อศักยภาพในการเติบโตในระยะข้างหน้า 2. คนว่างงานไม่สามารถหางานได้หรืออยู่ในภาคเศรษฐกิจที่ไม่ตรงกับทักษะ ทำให้คนกลุ่มนี้สูญเสียรายได้เป็นเวลานาน ขาดการพัฒนาทักษะที่เหมาะสม และอาจกลายเป็นผู้ว่างงานระยะยาวซึ่งจะกระทบกับผลิตภาพ (productivity) ของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า ขณะเดียวกันวิกฤตที่เกิดขึ้นมีแนวโน้มส่งผลกระทบที่รุนแรงกว่ากับแรงงานที่มีรายได้น้อยและทักษะไม่มาก รวมถึงธุรกิจ SME ซึ่งจะส่งผลให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในไทยยิ่งถ่างกว้างขึ้น เสี่ยงต่อการก่อเกิดปัญหาเสถียรภาพทางการเมืองและปัญหาสังคมอื่น ๆ ตามมา 

ด้วยเหตุนี้ภาครัฐจึงควรพิจารณากู้เงินเพิ่มเติมเพื่อลดแผลเป็นทางเศรษฐกิจ รวมทั้งสนับสนุนการฟื้นฟูและการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะมาตรการเพิ่มทักษะแรงงาน (Upskill/Reskill) มาตรการสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของธุรกิจ SME และการลงทุนเพื่ออุตสาหกรรมใหม่ ๆ เพื่อรองรับกับโครงสร้างเศรษฐกิจและความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปในโลกภายหลัง COVID-19 โดยแม้การกู้เงินเพิ่มเติมจะทำให้ระดับหนี้สาธารณะปรับสูงขึ้นกว่าเพดานหนี้ที่ 60% ต่อ GDP แต่ยังอยู่ในวิสัยที่ภาครัฐจะสามารถบริหารจัดการได้ในภาวะดอกเบี้ยต่ำและสภาพคล่องในประเทศอยู่ในระดับสูง โดยภาครัฐต้องสื่อสารถึงแผนการลดระดับหนี้ในระยะปานกลางที่น่าเชื่อถือ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพการคลัง

 

ดร.ยรรยง ไทยเจริญ กล่าวถึงนโยบายการเงิน  โดยคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ตลอดปี 2564 และ 2565 และเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพของมาตรการทางการเงินเพื่อกระจายสภาพคล่องให้ทั่วถึงขึ้น ภาวะการเงินโดยรวมของไทยยังคงอยู่ในระดับผ่อนคลายจากการที่ ธปท. คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ภายใต้แนวโน้มเงินเฟ้อที่แม้จะสูงขึ้นจากปีก่อนหน้าตามราคาน้ำมันแต่จะยังอยู่ในระดับต่ำ (คาดเงินเฟ้อทั่วไปปี 2564 อยู่ที่ 0.9% และปี 2565 อยู่ที่ 1%)

 

อย่างไรก็ดี อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวของไทยในปีนี้ปรับสูงขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ส่งผลให้ต้นทุนการระดมทุนของทั้งภาคธุรกิจและภาครัฐปรับสูงขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะธุรกิจที่มีความเสี่ยงด้านเครดิตสูงได้รับผลกระทบมากกว่า สะท้อนจาก credit spread ที่ยังคงอยู่ในระดับสูง

 

ในระยะต่อไป EIC คาดว่า ธปท. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.5% ตลอดปี 2564 และปี 2565 หากการแพร่ระบาดไม่กลับมารุนแรงขึ้นมากในไตรมาสที่ 4 ปีนี้ โดย กนง. น่าจะต้องการเก็บ policy space ไว้ใช้ยามจำเป็นที่เศรษฐกิจไทยกลับมาหดตัว และถึงแม้ว่าการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะช่วยลดภาระการชำระหนี้ลง แต่จะมีผลกระตุ้นเศรษฐกิจค่อนข้างจำกัด

 

นอกจากนี้ ดอกเบี้ยที่ลดต่ำลงอีกอาจทำให้ประชาชนที่พึ่งพารายรับจากดอกเบี้ยเงินฝากต้องหันมาออมเงินมากขึ้นและลดการใช้จ่ายลง อีกทั้ง ยังเป็นการสะสมความเปราะบางต่อเสถียรภาพการเงินไทยในระยะยาวอีกด้วย ทั้งนี้ EIC ประเมินว่า มีโอกาสที่ กนง. จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 1 ครั้งภายในปีนี้ราว 30% โดยขึ้นอยู่กับการแพร่ระบาดและอัตราการฉีดวัคซีนที่อาจล่าช้ากว่าคาดจนทำให้เศรษฐกิจกลับมาหดตัวอีกครั้ง

 

ทั้งนี้ธนาคารแห่งประเทศไทยจะให้น้ำหนักกับการเพิ่มประสิทธิภาพการส่งผ่านนโยบายการเงินผ่านการปรับมาตรการทางการเงินต่าง ๆ โดยเฉพาะในกลไกการลดความเสี่ยงด้านเครดิตเพื่อกระจายสภาพคล่องไปยังภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ SME ให้มากขึ้น ควบคู่กับการสนับสนุนการปรับโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินให้สอดคล้องกับปัญหาของลูกหนี้แต่ละกลุ่มมากยิ่งขึ้น รวมทั้งพิจารณาเข้าดูแลอัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินหากเกิดความผันผวนตามภาวะการเงินโลกที่จะตึงตัวขึ้นในปีหน้า

สำหรับค่าเงินบาท ณ สิ้นปี 2564 EIC คาดว่ามีแนวโน้มอยู่ในช่วง 32.5-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยเงินบาทกลับมาแข็งค่าเล็กน้อยในเดือนที่ผ่านมาจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ปรับดีขึ้นตามสถานการณ์การติดเชื้อในประเทศที่ลดลง ทำให้มีเงินทุนเคลื่อนย้ายไหลกลับเข้าสู่ตลาดการเงินไทย สำหรับในช่วงที่เหลือของปี เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนตัวเล็กน้อยอยู่ในช่วง32.5-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากดุลบัญชีเดินสะพัดจะยังขาดดุลอยู่มากจากอัตราค่าระวางสินค้า (Freight) ในระดับสูง และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะฟื้นตัวช้า อีกทั้ง ยังมีความเสี่ยงที่จำนวนผู้ติดเชื้ออาจกลับมาสูงขึ้นอีกได้หลังมีการเปิดเมืองมากขึ้น

สำหรับแนวโน้มเงินบาทในปี 2565 EIC คาดว่าอาจกลับมาแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยที่ 32-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจาก 1. เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นตามแนวโน้มการเปิดเมืองหลังมีการฉีดวัคซีนได้มากขึ้น 2. ดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่าจะขาดดุลลดลง (คาดขาดดุล 0.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐจากปีนี้ขาดดุลที่ 10.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) จากการทยอยเปิดรับนักท่องเที่ยวและค่าระวางสินค้าที่จะทยอยลดลง และ 3. เงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มอ่อนค่าลง จากการแพร่ระบาดที่โน้มลดลงทำให้เศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะกลุ่มประเทศเกิดใหม่มีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจนขึ้น ทำให้มีเงินไหลกลับเข้าประเทศกำลังพัฒนามากขึ้น

ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี 2564 และปี 2565 ยังมีความเสี่ยงด้านต่ำในหลายมิติ ประกอบไปด้วย 1. การระบาดในประเทศรอบปัจจุบันที่อาจปรับรุนแรงเพิ่มขึ้นอีกครั้งจากการทยอยเปิดเมือง 2. การกลายพันธุ์ของไวรัสที่อาจทำให้ประสิทธิภาพวัคซีนลดลง ซึ่งจะกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก เนื่องจากต้องมีมาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มงวดอีกครั้ง ทำให้การฟื้นตัวด้านการค้าและการท่องเที่ยวโลกต้องเลื่อนออกไป 3. ปัญหาด้าน Supply chain disruption ที่อาจเกิดขึ้นจากทั้งการปิดโรงงานในประเทศ และการหยุดการผลิตในประเทศคู่ค้าที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิตเดียวกัน และ 4. ผลของแผลเป็นเศรษฐกิจที่อาจมีมากกว่าคาด จนกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนและธุรกิจในวงกว้าง