หมอธีระวัฒน์แนะใช้ยาฆ่าพยาธิ Ivermectin รักษาโควิดหลังฟาวิพิราเวียร์เห็นผลช้า

01 ก.ย. 2564 | 08:41 น.

หมอธีระวัฒน์แนะใช้ยาฆ่าพยาธิ Ivermectin รักษาโควิดหลังฟาวิพิราเวียร์เห็นผลช้าลง หรือไม่ทันการณ์ ระบุยาสำคัญขององค์การอนามัยโลกอยู่แล้ว

รายงานข่าวระบุว่า ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา (หมอธีระวัฒน์) ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว (ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha)โดยมีข้อความว่า
ยาฆ่าพยาธิ Ivermectin ใช้ได้ทั้ง การรักษาโควิด-19 (Covid-19) ตั้งแต่เริ่มต้นรวมกระทั่งเมื่อติดเชื้อและมีอาการไปแล้วและสามารถใช้ร่วมกับยาอื่นได้ (early และ late treatment)
ประการสำคัญก็คือโควิดมีการกลายพันธุ์ไปเรื่อยๆ และจะเห็นได้ว่ายามาตรฐานที่ใช้รักษา ฟาวิพิราเวียร์เริ่มเห็นว่าได้ผลช้าลงหรือไม่ทันการณ์
ยาฆ่าพยาธิตั้งกล่าวมีประวัติการใช้งานมานานมากทำให้ทราบกระบวนการใช้และความปลอดภัยและมีการพิสูจน์ในเรื่องของโควิดมีอยู่แล้วในระดับต่างๆ
ซึ่งเป็นกลไกที่เกี่ยวข้องกับการขัดขวางตัวไวรัสโดยตรง และการเข้าร่างกาย ทางตัวรับต่างๆนอกจาก ACE2 ทำให้กระบวนการติดเชื้ออ่อนด้อยลง ขัดขวางกลไกที่ต่อเนื่องยับยั้งการเพิ่มจำนวนของไวรัสได้ ยับยั้งกระบวนการที่ทำให้เกิดการอักเสบ ไม่ปะทุ ยับยั้งกระบวนการที่ทำให้เลือดข้น การเกิดลิ่มเลือดในโควิด ฟื้นฟูประสิทธิภาพของการพยุงชีวิตของเซลล์ผ่านทางตัวอนุภาคโรงพลังงานไมโตคอนเดรีย 
ยาฆ่าพยาธินี้ทำให้ผู้ค้นคิดและผู้ที่นำไปใช้ต่อสู้กับโรคพยาธิฟิลาเรีย William C Campbell และ Satoshi Omura ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยา และ อายุรศาสตร์ ในปี 2015 และจัดเป็นยาสำคัญขององค์การอนามัยโลกอยู่แล้ว

ทั้งนี้ "ฐานเศรษฐกิจ" รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับยา  Ivermectin (ไอเวอร์เมคติน) พบว่า ยาดังกล่าวใช้รักษาโรคที่มีสาเหตุจากพยาธิตัวกลม เช่น โรคพยาธิไส้เดือน โรคพยาธิตัวจี๊ด และโรคจากปรสิตบางชนิด เช่น โรคหิด หรืออาจใช้รักษาโรคอื่น ๆ นอกเหนือจากนี้ตามดุลยพินิจของแพทย์  เนื่องด้วยยาไอเวอร์เมคตินมีข้อห้ามใช้และอาจเกิดผลข้างเคียงได้ ดังนั้น การใช้ยาควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์และเภสัชกรเสมอ
สำหรับคำเตือนในการใช้ยาไอเวอร์เมคตินมีดังนี้
แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยานี้ หากมีประวัติแพ้ยานี้หรือส่วนประกอบของยาชนิดนี้ รวมถึงการแพ้ยาชนิดอื่น อาหาร หรือสารใด ๆ

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
แจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับยาที่กำลังใช้อยู่ทุกชนิด ทั้งยาที่แพทย์สั่ง ยาที่ซื้อใช้ด้วยตนเอง วิตามิน และสมุนไพร เพราะมียาหลายชนิดที่อาจมีปฏิกิริยากับยานี้
ห้ามเริ่มใช้ยา หยุดยา หรือเปลี่ยนแปลงปริมาณการใช้ยาด้วยตนเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์
แจ้งให้แพทย์ พยาบาล เภสัชกร และทันตแพทย์ทราบว่ากำลังใช้ยานี้ ก่อนเข้ารับการรักษาใด ๆ
ควรปรึกษาแพทย์หากใช้ยานี้พร้อมกับยาวาร์ฟาริน เพราะอาจจำเป็นต้องตรวจเลือดอยู่เสมอ
ระหว่างที่ใช้ยานี้ ควรระมัดระวังเวลาลุกขึ้นยืน เดินขึ้นหรือลงบันได เพราะยานี้อาจทำให้เวียนศีรษะหรือหมดสติได้ แม้มีความเสี่ยงเกิดขึ้นได้น้อยก็ตาม
หลังจากใช้ยานี้ ผู้ป่วยควรตรวจอุจจาระซ้ำ เพื่อตรวจสอบว่าหายจากโรคที่เป็นอยู่หรือไม่
ผู้ที่ตั้งครรภ์หรือกำลังวางแผนมีบุตร ควรปรึกษาแพทย์ถึงข้อดีและข้อเสียของยาก่อนใช้ยานี้
ผู้ที่กำลังให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ถึงความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อบุตร
ยานี้อาจมีปฏิกิริยากับแอลกอฮอล์และยาเลวาไมโซล จึงควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ และควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา Ivermectin หากกำลังใช้ยาเลวาไมโซลอยู่

สำหรับปริมาณการใช้ยาไอเวอร์เมคตินนั้น ปริมาณและระยะเวลาในการใช้ยาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา โดยมีตัวอย่างการใช้ยา ดังนี้ โรคพยาธิไส้เดือน สำหรับฆ่าพยาธิ Ascaris Lumbricoides ผู้ใหญ่ รับประทานยาปริมาณ 150-200 ไมโครกรัม/น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม รับประทานครั้งเดียว ส่วนเด็กน้ำหนักตัวมากกว่าหรือเท่ากับ 15 กิโลกรัม รับประทานยาปริมาณ 150-200 ไมโครกรัม/น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม รับประทานครั้งเดียว
ขณะที่ โรคพยาธิสตรองจิลอยด์ ผู้ใหญ่ รับประทานยาปริมาณ 200 ไมโครกรัม/น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม รับประทานครั้งเดียว เด็กน้ำหนักตัวมากกว่า 15 กิโลกรัม รับประทานยาปริมาณ 200 ไมโครกรัม/น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม รับประทานครั้งเดียว  โรคพยาธิตัวจี๊ด สำหรับฆ่าพยาธิ Gnathostoma Spinigerum ผู้ใหญ่ รับประทานยาปริมาณ 200 ไมโครกรัม/น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม วันละครั้ง เป็นเวลา 2 วัน เด็กน้ำหนักตัวมากกว่าหรือเท่ากับ 15 กิโลกรัม รับประทานยาปริมาณ 200 ไมโครกรัม/น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม วันละครั้ง เป็นเวลา 2 วัน

แนะใช้ยาฆ่าพยาธิ Ivermectin รักษาโควิด-19
โรคหิด สำหรับฆ่าตัวหิดหรือไรหิด ผู้ใหญ่ รับประทานยาปริมาณ 200 ไมโครกรัม/น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม วันละครั้ง และรับประทานยาซ้ำใน 2 สัปดาห์ถัดไป เด็กน้ำหนักตัวมากกว่าหรือเท่ากับ 15 กิโลกรัม รับประทานยาปริมาณ 200 ไมโครกรัม/น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม วันละครั้ง และรับประทานยาซ้ำใน 2 สัปดาห์ถัดไป
การใช้ยาไอเวอร์เมคตินตามฉลากและตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่ใช้ยานี้ในปริมาณมากกว่า น้อยกว่า หรือติดต่อกันนานกว่าที่แพทย์แนะนำ และผู้ป่วยบางรายอาจจำเป็นต้องมีการปรับปริมาณการใช้ยาตามเหมาะสม หากมีข้อสงสัยควรสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ
โดยควรรับประทานยาในขณะท้องว่าง และดื่มน้ำเปล่าตาม โดยควรดื่มน้ำให้มาก นอกจากแพทย์จะแนะนำให้ดื่มน้ำน้อย  ห้ามให้ผู้อื่นใช้ยานี้ และห้ามใช้ยาของผู้อื่น แจ้งให้แพทย์ทราบหากใช้ยาแล้วอาการไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง หากสงสัยว่าตนเองใช้ยาเกินกว่าปริมาณที่กำหนด ควรแจ้งให้แพทย์ทราบทันที ควรเก็บยาไว้ที่อุณหภูมิห้อง ให้พ้นจากแสงแดด ความชื้น ความร้อน และห่างจากสายตาเด็กหรือสัตว์เลี้ยง รวมไปถึงปรึกษาเภสัชกรถึงวิธีการกำจัดยาที่ไม่ได้ใช้แล้ว
ส่วนผลข้างเคียงจากการใช้ยาไอเวอร์เมคตินอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ระคายเคืองผิว หรือมีอาการคัน คลื่นไส้ อาเจียน ไอ เจ็บคอ เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ ท้องเสีย ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ หมดแรง หากอาการดังกล่าวไม่หายไปหรือรบกวนการใช้ชีวิต ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษา อย่างไรก็ตาม หากเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงดังต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
ขณะเดียวหาก หากพบอาการแพ้ยา ได้แก่ ผื่นคัน ลมพิษ ผิวบวมแดง มีตุ่มพุพอง ผิวลอกพร้อมกับมีไข้หรืออาจไม่มีไข้ หายใจเสียงดัง แน่นหน้าอกหรือลำคอ มีปัญหาในการหายใจหรือการพูด เสียงแหบ หน้าบวม ปากบวม ริมฝีปากบวม ลิ้นบวม หรือคอบวม เวียนศีรษะรุนแรง หรือหมดสติ การมองเห็นเปลี่ยนแปลง เจ็บตา หรือระคายเคืองตาอย่างรุนแรง ระคายเคืองผิวอย่างรุนแรง ตัวบวม หรือต่อมต่าง ๆ บวมโต นอกจากนี้ หากผู้ป่วยพบอาการผิดปกติใด ๆ เพิ่มเติม ควรรีบแจ้งให้แพทย์ทราบด้วยเช่นกัน