"ไบเดน" ลั่นเอาคืนอย่างสาสม สั่งล่ากลุ่ม ISIS-K วางระเบิดสนามบินคาบูล

27 ส.ค. 2564 | 18:10 น.

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ ออกแถลงการณ์ที่ทำเนียบขาวหลังเกิดเหตุระเบิด 2 ครั้งที่สนามบินในกรุงคาบูล ประเทศอัฟกานิสถาน ทำให้ทหารและพลเรือนเสียชีวิตจำนวนมาก ลั่นจะตามไล่ล่าผู้ก่อเหตุ กลุ่มก่อการร้ายรัฐอิสลาม ISIS-K ที่ออกมาประกาศความรับผิดชอบแล้ว

ถ้อยแถลงของ ประธานาธิบดี โจ ไบเดน มีขึ้นที่ทำเนียบขาว เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจาก เกิดเหตุระเบิด 2 ครั้งที่สนามบินในกรุงคาบูล เมืองหลวงของ อัฟกานิสถาน ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ล่าสุดวานนี้ (27 ส.ค.) มีรายงานจากสื่อต่างประเทศยืนยันชาวอัฟกันเสียชีวิตอย่างน้อย 95 คน ขณะที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐยืนยันทหารสหรัฐเสียชีวิต13 นาย ซึ่งถือเป็นการสูญเสียทหารสหรัฐในประเทศอัฟกานิสถานจำนวนมากที่สุดภายในวันเดียวในรอบ 10 ปี

 

มีตัวเลขคาดการณ์ว่าจำนวนผู้เสียชีวิตที่แท้จริงจากเหตุการณ์ลอบวางระเบิดที่ท่าอากาศยานกรุงคาบูลเมื่อวันพฤหัสฯ (26 ส.ค. เวลาท้องถิ่น) อาจสูงกว่าที่มีการรายงานในข่าว โดยอาจแตะระดับ 108 ราย ทั้งนี้ กลุ่มไอซิส-เค ( ISIS-K) ซึ่งเป็นกองกำลังของ กลุ่มรัฐอิสลาม ได้ออกมาประกาศรับผิดชอบต่อเหตุระเบิดดังกล่าวแล้ววานนี้ (27 ส.ค.)

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน

เหตุการณ์ระเบิดดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันก่อนกำหนดเส้นตายในการถอนกำลังทหารสหรัฐออกจากอัฟกานิสถานในวันที่ 31 ส.ค.นี้

 

"เราจะไม่ให้อภัยผู้ที่ก่อเหตุ และเราจะไม่ลืมสิ่งที่พวกเขาทำ เราจะตามไล่ล่าและจะเอาคืนพวกเขาอย่างสาสม" ประธานาธิบดีโจ ไบเดนประกาศ ทั้งยังระบุด้วยว่า สหรัฐจะยังคงปฏิบัติภารกิจอพยพประชาชนต่อไป และไม่ได้ส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงเป้าหมายการถอนทหารซึ่งกำหนดไว้ว่าจะสิ้นสุดในวันอังคารหน้า (31 ส.ค.)

 

"ผมได้สั่งการให้ผู้บัญชาการทหารเร่งวางแผนปฏิบัติการเพื่อโจมตีทรัพย์สิน เด็ดหัวผู้นำ และทำลายฐานที่มั่นของกลุ่ม ISIS-K เราจะตอบโต้ด้วยกำลังและความแม่นยำของเราในที่ที่เราเลือก และในช่วงเวลาที่เราเห็นว่าเหมาะสม" ผู้นำสหรัฐกล่าว

เหตุการณ์ระเบิดครั้งนี้อาจมีผู้เสียชีวิตสูงถึง 108 คน

รู้จักกลุ่ม ISIS-K 

สำหรับ กลุ่ม ISIS-K ที่ออกมายอมรับว่าเป็นผู้ก่อเหตุระเบิดในครั้งนี้ มีชื่อเรียกเต็ม ๆ ว่า รัฐอิสลามจังหวัดโคราซัน (Khorasan) โดยตัว K หมายถึงเมืองโคราซัน พวกเขาเป็นกลุ่มติดอาวุธท้องถิ่นซึ่งเป็นแนวร่วมกับกลุ่มไอซิส เคลื่อนไหวอยู่ในประเทศอัฟกานิสถานและปากีสถาน และเป็นกลุ่มที่ได้ชื่อว่า “สุดโต่งและรุนแรงที่สุด” ในบรรดากลุ่มติดอาวุธญิฮาดทั้งหมดในอัฟกานิสถาน

 

ISIS-K ก่อตั้งขึ้นในปี 2558 ช่วงที่กลุ่มไอซิสครองอำนาจในอิรักและซีเรีย พวกเขาเกณฑ์นักรบติดอาวุธชาวอัฟกานิสถานและปากีสถานเข้ามาเป็นสมาชิก โดยเฉพาะผู้แปรพักตร์จากกลุ่มตาลีบันในอัฟกานิสถาน ซึ่งมองว่า ตาลีบันยังไม่โหดเหี้ยมเพียงพอ เป้าหมายของกลุ่ม ISIS-K แตกต่างจากกลุ่มตาลีบันที่ต้องการตีกรอบอัฟกานิสถาน เนื่องจากพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายกลุ่มไอซิสทั่วโลก ที่ต้องการโจมตีชาวตะวันตกหน่วยงานนานาชาติ และโจมตีเป้าหมายเชิงมนุษยธรรมหากมีโอกาส

 

กลุ่ม ISIS-K ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อเหตุโจมตีป่าเถื่อนหลายครั้งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทั้งการโจมตีที่มีเป้าหมายไปยังโรงเรียนสตรีโรงพยาบาล หรือแม้แต่สถานผดุงครรภ์แห่งหนึ่ง โดยมีรายงานว่า พวกเขาทำได้แม้กระทั่งการสังหารนสตรีมีครรภ์และนางพยาบาล

ISIS-K

กล่าวกันว่า กลุ่มติดอาวุธ ISIS-K มีนักรบในยุครุ่งเรืองที่สุดประมาณ 3,000 คน ระยะหลัง ๆ จำนวนนักรบกลุ่มนี้ลดลงอย่างมากจากการปะทะกับทหารสหรัฐ กองทัพอัฟกานิสถาน รวมทั้งจากการต่อสู้กับกลุ่มตาลีบันด้วย 

 

ที่มั่นของกลุ่ม ISIS-K ปัจจุบันอยู่ในจังหวัดนันการ์ฮาร์ ทางภาคตะวันออกของอัฟกานิสถาน ใกล้กับเส้นทางขนส่งยาเสพติดและเส้นทางค้ามนุษย์ที่ติดกับปากีสถาน พวกเขามีความเชื่อมโยงกับกลุ่มตาลีบันอยู่บ้างผ่าน “เครือข่ายฮักกานี” ซึ่งเป็นกลุ่มก่อการร้ายแนวร่วมของตาลีบันและอัลเคดาในอัฟกานิสถาน

 

อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างระหว่าง ISIS-K ที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ที่รุนแรงและต่อต้านชาติตะวันตกอย่างสุดโต่ง กับตาลีบันที่กำลังครองอำนาจในอัฟกานิสถาน (อย่างน้อยก็ในขณะนี้) และมีท่าทีต้องการเจรจาสันติภาพกับประชาคมโลก ทำให้บทบาทของ ISIS-K ที่ถูกส่องสว่างขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนพร้อมกับแรงระเบิดและความวินาศของสนามบินฮามิด คาร์ไซในกรุงคาบูลเมื่อวันพฤหัสฯ (26 ส.ค.) ได้กลายเป็นโจทย์ใหญ่ที่ท้าทายอำนาจของตาลีบันและสเถียรภาพของอัฟกานิสถานต่อไปในระยะยาว