ธอส.ปรับเงื่อนไข “บ้านล้านหลัง เฟส2” ขยายวงเงินกู้เป็น 1.5 ล้าน

07 มิ.ย. 2565 | 08:39 น.

ธอส. ปรับปรุงการกำหนดราคาซื้อ - ขาย / ค่าก่อสร้าง และปรับวงเงินกู้ "โครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 2 " สูงสุดต่อรายต่อหลักประกัน เพิ่มเป็นไม่เกิน 1,500,000 บาท คงอัตราดอกเบี้ยคงที่ 4 ปีแรกเพียง 1.99% ต่อปี เงินงวดคงที่นานถึง 84 งวดแรก

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอให้ ธอส. ปรับปรุงการกำหนดราคาซื้อ - ขาย / ค่าก่อสร้าง และปรับวงเงินกู้ "โครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 2 " สูงสุดต่อรายต่อหลักประกัน เพิ่มจากเดิมไม่เกิน 1,200,000 บาท เป็นไม่เกิน 1,500,000 บาท ภายใต้กรอบวงเงินรวม 20,000 ล้านบาท

 

ฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)

สำหรับรายละเอียดโครงการบ้านล้านหลัง ระยะที่ 2

-คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ 4 ปีแรก เท่ากับ 1.99% ต่อปี

-ผ่อนชำระได้นานสูงสุด 40 ปี เงินงวดคงที่ 84 งวดแรก ( 7 ปี )

-ให้กู้เพื่อซื้อบ้าน หรือคอนโดมิเนียม(ห้องชุด) ทั้งที่เป็นที่อยู่อาศัยใหม่ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ บ้านมือสอง (รวมถึงบ้านมือสองของ ธอส.) เพื่อปลูกสร้าง หรือซื้อที่ดินพร้อมปลูกสร้าง และซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกในการอยู่อาศัยพร้อมกับการขอกู้ซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียม

-ยกเว้นค่าธรรมเนียมให้กับผู้กู้  2 ประเภท

1.ค่าประเมินราคาหลักประกัน

2.ค่าจดทะเบียนนิติกรรมจำนอง

 

สำหรับลูกค้าที่สนใจสามารถรับรหัสเข้าร่วมโครงการทาง Mobile Application : GHB ALL ยืนคำขอกู้และทำนิติกรรมได้ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2566 หรือ ก่อนเต็มกรอบวงเงินของโครงการ

 

ทั้งนี้ ธอส. ได้เริ่มเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนเพื่อรับรหัสสำหรับเข้าร่วมโครงการผ่าน Mobile Application : GHB ALL ตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน 2564 ล่าสุด ณ วันที่ 6 มิถุนายน 2565 มีลูกค้าลงทะเบียนแล้วกว่า 94,000 ราย ในจำนวนนี้มีลูกค้าที่มีความพร้อมและยื่นเอกสารหลักฐานเพื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาสินเชื่อแล้วจำนวน 17,000 ราย วงเงินรวม 15,000 ล้านบาท

 

และ ธอส. ได้อนุมัติสินเชื่อแล้วจำนวน 16,000 ราย วงเงินสินเชื่อรวม 13,500 ล้านบาท โดยหลังจากนี้ธนาคารจะประสานกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการขอรับการส่งเสริมการลงทุนให้วงเงินสอดคล้องกันต่อไป 

 

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2565 ได้มีมติเห็นชอบให้ธนาคารปรับเพดานสัดส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) สำหรับลูกค้าที่ซื้อที่อยู่อาศัยจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในสัญญากู้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัยหลังที่ 1 ที่มีราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท ให้อยู่ที่ 100% ของมูลค่าหลักประกัน

 

พร้อมให้เงินกู้เพิ่มเพื่อซื้ออุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อประโยชน์ในการอยูอาศัยอีก 10% (รวมวงเงินให้กู้สูงสุด 110% ของมูลค่าหลักประกัน) เพื่อช่วยให้ประชาชนที่ต้องการมีบ้านและมีความต้องการวงเงินกู้เพิ่มในระดับที่สอดคล้องกับรายได้เพื่อนำไปใช้จ่ายในด้านการซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นและเกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัย

 

โดยขณะนี้ธนาคารอยู่ระหว่างการกำหนดหลักเกณฑ์ของกลุ่มลูกค้าที่จะสามารถได้รับวงเงินกู้สูงสุด 110% ของมูลค่าหลักประกัน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเปิดให้ประชาชนยื่นกู้ตามเพดาน LTV ใหม่อย่างเป็นทางการได้ภายในเดือนมิถุนายน 2565