MINT ปิดการขายหุ้นกู้ 7,000 ล้านบาท ตามเป้าหมาย

24 มี.ค. 2565 | 11:49 น.

บมจ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ MINT ขายหุ้นกู้ตามเป้าหมาย ปิดการขาย MINT e-Bond 3 ชุด รวม 7,000 ล้านบาทหลังรายย่อยตอบรับคึกคัก ย้ำความเชื่อมั่นบริษัทฯ มั่นใจแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 65 กลับมาแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง

นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาเชิงกลยุทธ์ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT เปิดเผยว่า บริษัทฯ ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายในการเสนอขาย หุ้นกู้  ‘MINT e-Bond’ ให้กับนักลงทุนรายย่อยรวม 3 ชุด วงเงิน 7,000 ล้านบาท จ่ายดอกเบี้ยทุก 6 เดือน  ระหว่างวันที่ 21 – 23 มีนาคม 2565 ผ่านสถาบันการเงินทั้ง 5 แห่งที่เป็นพันธมิตรร่วม

 

นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาเชิงกลยุทธ์ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)

หุ้นกู้ที่เสนอขายครั้งนี้  ประกอบด้วย

  • หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 3 ปี  2 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.00% ต่อปี
  • หุ้นกู้ชุดที่ 2 มีอายุ 5 ปี 4 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.60% ต่อปี
  • หุ้นกู้ชุดที่ 3 (หุ้นกู้ดิจิทัล) อายุ 4 ปี 4 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.30% ต่อปี

 

การเสนอขายหุ้นกู้ทั้ง 3 ชุดดังกล่าว นับเป็นครั้งแรกของบริษัทเอกชนในประเทศไทยร่วมกับสถาบันการเงินพันธมิตรทั้ง 5 แห่งเสนอขายหุ้นกู้แบบไร้ใบหุ้นกู้ (Scripless) 100% แก่นักลงทุนทั่วไป เพื่อลดการใช้กระดาษสอดคล้องกับเทรนด์รักษ์โลก พร้อมทั้งสนับสนุนนวัตวรรมตลาดทุนในยุคดิจิทัล อย่างไรก็ตามผู้ลงทุนที่ต้องการเปลี่ยนเป็นใบหุ้นกู้สามารถแจ้งกับบริษัทหลักทรัพย์ที่เปิดพอร์ตหรือนายทะเบียนหุ้นกู้ได้ (มีค่าธรรมเนียม)

 

นอกจากนี้ยังเปิดมิติใหม่ของการเสนอขายหุ้นกู้ โดยเป็นครั้งแรกที่มอบสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจากการจ่ายดอกเบี้ยหุ้นกู้ ซึ่งผู้ถือหุ้นกู้จะได้รับส่วนลด 10% จากราคาปกติ (ตามเงื่อนไขที่บริษัทฯ กำหนด) เมื่อใช้บริการร้านอาหารในเครือของบริษัทฯ ที่ร่วมรายการ 6 แบรนด์ ได้แก่ เดอะพิซซ่า คอมปะนี, บอนชอน, สเวนเซ่นส์, ซิซซ์เล่อร์, เบอร์เกอร์คิงส์ และเดอะ คอฟฟี่ คลับ (ยกเว้นสาขาในสนามบิน) ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2565 เป็นต้นไปตลอดอายุหุ้นกู้ที่ลงทุนโดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง

“ผลตอบรับจากการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้เป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อบริษัทฯ จึงตัดสินใจเข้าลงทุนในหุ้นกู้ MINT e-Bond เพื่อรับผลตอบแทนจากการจ่ายดอกเบี้ยอย่างสม่ำเสมอและมีความมั่นคง โดยบริษัทฯ เตรียมนำเงินไปชำระคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดในเดือนมีนาคม 2565 รวมถึงช่วยให้บริษัทฯ บริหารต้นทุนทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น”นายชัยพัฒน์กล่าว

 

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ร่วมลงนามกับสถาบันการเงินพันธมิตรทั้ง 5 แห่งที่ร่วมจำหน่ายหุ้นกู้ในสัญญาอนุพันธ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงทางการเงิน โดยนำผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรมนุษย์ และธรรมาภิบาล (ESG) ของบริษัทฯ มาใช้เพื่อพิจารณาอัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยน  “ESG-Linked Cross Currency Swap” ที่มีผลต่อต้นทุนทางการเงินของบริษัทฯ เป็นการตอกย้ำการให้ความสำคัญในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยมีหลักเกณฑ์พิจารณา 3 เรื่อง ซึ่งเป็นแนวทางที่สอดรับกับบริบทสากลที่ทุกคนต้องมีส่วนร่วมเพื่อก้าวสู่อนาคตอย่างยั่งยืน คือ

  1. ผลดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (DJSI)
  2. ทรัพยากรมนุษย์ได้รับการพัฒนาและสนับสนุน
  3. ความสามารถในการลดปริมาณการใช้พลาสติกประเภทใช้ครั้งเดียว

 

อย่างไรก็ตาม แม้บริษัทฯ จะมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจเพื่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย แต่บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับเรื่อง ESG เพื่อการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และเชื่อว่าจะช่วยให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทดีขึ้นด้วยเช่นกัน