สงครามรัสเซีย-ยูเครนกดจีดีพีไทยปีนี้โตต่ำกว่า 3%

23 มี.ค. 2565 | 08:56 น.

ประธานสมาคมแบงก์ไทยเผย สงครามรัสเซีย-ยูเครนกดจีดีพีไทยปีนี้โตต่ำกว่า 3%หากสถานการณ์ยืดเยื้อ ราคาพลังงานสูงนานกว่า 3เดือน

ประธานสมาคมแบงก์ไทยเผย สงครามรัสเซีย-ยูเครนกดจีดีพีไทยปีนี้โตต่ำกว่า 3%หากสถานการณ์ยืดเยื้อ ราคาพลังงานสูงนานกว่า 3เดือน   -วงเงินสินเชื่อภาคธุรกิจอาจไม่เพียงพอต่อต้นทุนที่แพงขึ้น  ห่วงรายที่กำลังฟื้นตัวต้องกลับไปเปราะบางอีกครั้ง  เช่นเดียวกับกลุ่มลูกหนี้1.8ล้านบัญชียังต้องระมัดระวังรักษาสมดุล “การช่วยเหลือกับการรักษาวินัยทางการเงิน”

สงครามรัสเซีย-ยูเครนกดจีดีพีไทยปีนี้โตต่ำกว่า 3%

นายผยง  ศรีวณิช  ประธานสมาคมธนาคารไทยและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวในงานสัมมนาฐานเศรษฐกิจและกรุงเทพธุรกิจ “THE  BIG  ISSUE 2022 ฝ่าไฟสงคราม รับมือวิกฤตเศรษฐกิจ” ในหัวข้อ “ ทางออก ทางรอดธุรกิจไทย หลังไฟสงคราม  โดยระบุว่า สำหรับภาคการเงินการธนาคารนั้น  สงครามครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เห็นได้จากหลายสำนักวิจัยปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปีนี้ เหลือประมาณ 3%จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโต 4%  หากสงครามทำให้ราคาพลังงานอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องไปอีก 3 เดือน และจะต่ำกว่านี้ ถ้าสงครามยืดเยื้อ รุนแรงและราคาพลังงานสูงมากกว่านี้

นอกจากนี้สงครามรัสเซีย-ยูเครนยังส่งผลกระทบต่อวงเงินสินเชื่อของภาคธุรกิจที่อาจไม่เพียงพอต่อต้นทุนธุรกิจที่แพงขึ้น และภาคธุรกิจยังผลักภาระไม่ได้ โดยอาจทำให้คนที่กำลังฟื้นตัวต้องกลับไปเปราะบางได้อีกครั้ง

       

 ขณะนี้ยังมีกลุ่มลูกหนี้ที่สถาบันการเงินให้ความช่วยเหลือทั้งระบบอยู่ 3.53 ล้านล้านบาท จำนวน 5.7 ล้านบัญชี  ในจำนวนนี้อยู่ในความช่วยเหลือของธนาคารเอกชนประมาณ 2 ล้านล้านบาท หรือ 1.8 ล้านบัญชี แม้ครึ่งปีหลัง2564ลูกหนี้เหล่านี้จะมีพัฒนาการที่ดีขึ้น  แต่ยังระมัดระวัง และรักษาความสมดุลควบคู่กันระหว่างการให้ความช่วยเหลือที่เหมาะสมกับการรักษาวินัยทางการเงิน

 ขณะเดียวกัน สงครามรัสเซีย-ยูเครน ภาคการเงินยังคงต้องติดตามสถานการณ์เงินเฟ้อและแนวโน้มนโยบายการเงินต่างประเทศ  อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 2ปีจากไตรมาสสามปีก่อนอยู่ที่ประมาณ 0.3%ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 2%  สะท้อนมุมมองของนักลงทุนว่าธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา(เฟด) จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีก 6 ครั้งหรือมากกว่านั้นในปีนี้ ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดที่รวดเร็วอย่างนี้ในภาวะที่โลกกำลังกังวลกับภาวะสงครามอาจนำไปสู่ความผันผวนรุนแรงมากขึ้นในตลาดเงินและตลาดทุน ซ้ำเติมให้บรรยากาศการลงทุนต่างๆ ที่ไม่ดีอยู่แล้วยิ่งจะแย่ลงไปอีก