EE ทุ่มงบ 650 ล้านบาท ซื้อบริษัทกัญชง“CBDB" เพิ่มทุน RO ลงทุนโรงสกัด

16 มี.ค. 2565 | 03:28 น.

บอร์ด EE เคาะงบ 650 ล้านบาท ประกาศเข้าซื้อบริษัทกัญชงรายใหญ่สุดภาคเหนือ “CBDB” พร้อมขออนุมัติเพิ่มทุน RO นำเงินที่ได้1,390 ล้านบาท ลงทุนโรงงานสกัดชง

นายวรศักดิ์ เกรียงโกมล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีเทอเนิล เอนเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ EE รายงานผลการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 3/2565 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2565 ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีสาระสำคัญอยู่ที่การได้มาซึ่งหุ้นใน บริษัท ซีบีดี ไบโอไซเอนซ์ จำกัด และการเพิ่มทุนจดทะเบียนและจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม 

    

ที่ประชุมอนุมัติให้บริษัทฯ เข้าซื้อหุ้นสามัญทั้งหมด (จำนวน 400,000 หุ้น) ของบริษัท ซีบีดี ไบโอไซเอนซ์ จำกัด หรือ CBDB ในวงเงิน 650 ล้านบาท โดย CBDB เป็นผู้ประกอบธุรกิจค้าและผลิตกัญชงรายใหญ่ในพื้นที่ภาคเหนือ มีจุดเด่นคือวิธีการปลูกในโรงเรือน (Greenhouse) ด้วยระบบ EVAP (Evaporative Cooling System ซึ่งเป็นระบบฟาร์มแบบปิดที่จะสามารถควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและป้องกันโรคระบาดได้ดี โดย CBDB มีที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองยวง อำเภอเวียงหนองล่อง จังหวัดลำพูน เนื้อที่รวม 28ไร่ 95 ตารางวา โดยมีโรงเรือนสำหรับการปลูกพืชกัญชงมากถึง 60 โรงเรือน พื้นที่เพาะปลูกรวมประมาณ 9,600 ตารางเมตร 

 

ปัจจุบันมีการเตรียมความพร้อมในส่วนของ ที่ดิน โรงเรือนเพาะปลูก จัดเตรียมวิธีการและเทคนิคการปลูก รวมถึงอยู่ระหว่างการยื่นคำขอรับใบอนุญาตผลิต (ปลูก) ยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชง โดยผ่านการเข้าตรวจสถานที่โดยหน่วยงานรับผิดชอบเรียบร้อยแล้ว  ซึ่งคาดว่าน่าจะได้รับใบอนุญาตดังกล่าวภายในเดือนมีนาคม 2565 พร้อมเริ่มดำเนินการเพาะปลูกรอบแรกทันที ซึ่งจะทำให้สามารถรับรู้รายได้จากการขายผลผลิตภายในอย่างรวดเร็วภายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 

 

บริษัท ซีบีดี ไบโอไซเอนซ์ จำกัด บริหารงานโดย นพ.อิสระ เจียวิริยบุญญา ซึ่งเป็นแพทย์ที่ศึกษา และมีประสบการณ์การบริหารโครงการกัญชาทางการแพทย์มาเป็นเวลายาวนาน นอกจากนี้ยังได้ทีมที่ปรึกษาโครงการ ซึ่งเป็นทีมอาจารย์จากมหาวิทยาลัยแม่โจ้ที่มีความรู้ประสบการณ์ในการปลูกกัญชงมาช่วยดูแลโครงการอีกด้วย

 

 “ด้วยการลงทุนที่ต่อเนื่องบนกัญชงต้นน้ำ CBDB จะเข้ามาเป็นสินทรัพย์ทางเกษตรกรรมชิ้นใหม่ที่สร้างผลผลิตและรายได้ให้กับบริษัทได้อย่างงดงาม เพราะด้วยขนาดฟาร์มที่ใหญ่ ระบบที่ดีเยี่ยม เราจะสามารถเพิ่มปริมาณผลผลิตที่มีมาตรฐาน เพิ่มอำนาจการต่อรอง โดยจะเน้นการปลูกเพื่อเอาผลผลิตในรูปแบบอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง เพื่อให้บริษัทได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่เต็มที่” 
 

ด้านการเพิ่มทุนจดทะเบียนและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม บริษัทฯ เตรียมเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2565 ในวันที่ 29 เมษายน 2565 เพื่อพิจารณาอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัท จำนวน 3,580,000,000 บาท จากทุนจดทะเบียนจำนวน 4,170,000,000 บาท เป็น จำนวน 7,750,000,000 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 3,580,000,000 หุ้น เพื่อรองรับ

 

  • 1.) การออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้น (Rights Offering) โดยมีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท จำนวน 2,780,000,000 หุ้น ในอัตราส่วน 1 หุ้นเดิม : 1 หุ้นใหม่ ที่ราคาขาย 0.50 บาทต่อหุ้น โดยวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุน (Record Date) ในวันที่ 31 มีนาคม 2565
  •  2.) เพื่อรองรับการปรับสิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของ บริษัท อีเทอเนิล เอนเนอยี จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1 (EE-W1) จำนวน 800,000,000 หุ้น 

 

บริษัทฯคาดว่าหากการระดมทุนโดยการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้น RO ในครั้งนี้ทำได้เต็มจำนวน จะได้รับเงินทุนจำนวน 1,390,000,000 บาท ซึ่งจะนำไปใช้สำหรับการลงทุนโครงการโรงงานสกัดกัญชง/กัญชากลางน้ำ 1,200 ล้านบาทที่คาดว่าแล้วเสร็จพร้อมดำเนินธุรกิจนี้ภายในปี 2565 และ/หรือ ลงทุนในโครงการอื่นๆ 200 ล้านบาท 

    

“เพื่อให้บริษัทเป็นผู้นำในธุรกิจกัญชงครบวงจรอย่างแท้จริง บริษัทฯต้องการเงินทุนที่เพียงพอมาใช้ในการขยายการลงทุนจากการปลูกกัญชง ไปสู่การสกัดสารจากกัญชงซึ่งเป็นธุรกิจต่อเนื่อง และต่อยอดไปจนถึงผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในปลายน้ำในที่สุด การขยายธุรกิจไปจนครบวงจรจะทำให้บริษัทสามารถทำรายได้มากขึ้นโดยมีอัตรากำไรสูงสุด

 

และเมื่อบริษัทมีความพร้อมในทุกๆ ด้าน จะทำให้บริษัทสามารถเชื่อมต่อห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain) ทั้งหมด ส่งผลให้บริษัทมีช่องทางการค้า และโอกาสสร้างรายได้มากขึ้น มีทั้งความมั่นคงและสภาพคล่องจากเงินทุนหมุนเวียนที่เพียงพอ ก้าวสู่บริษัทกัญชงที่มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง สร้างเงินปันผลที่คุ้มค่าต่อผู้ลงทุน ก้าวสู่การเป็นยักษ์ใหญ่กัญชงระดับประเทศและระดับโลกต่อไปได้”