GLOCON แจง 3 แนวทางปลดล็อคเครื่องหมาย “C”

14 มี.ค. 2565 | 02:14 น.

GLOCON เดินหน้าเพิ่มรายได้แตะ 10,000 ล้านบาทภายใน 5 ปี ยกระดับศักยภาพการผลิตรองรับดีมานส์ตลาด -ยัน ปี 2566 จ่ายปันผลได้ตามแผน -เบื้องต้นตั้งเป้ารายได้ 3000ล้านบาทในปี2565

          โกลบอล คอนซูเมอร์ “ GLOCON” แจง 3 แนวทางปลดล็อคเครื่องหมาย “C” เดินหน้าเพิ่มรายได้แตะ 10,000 ล้านบาทภายใน 5 ปี ยกระดับศักยภาพการผลิตรองรับดีมานส์ตลาด คุมเข้มต้นทุน ลดค่าใช้จ่าย พร้อมลุยเจรจาทำ M&A ธุรกิจใหม่ๆ เสริมศักยภาพการเติบโตแกร่ง ต่อยอดสู่ Sustainable Food ตอกย้ำวิสัยทัศน์ “ผู้นำอุตสาหกรรมด้านการผลิตอาหารระดับโลก” ผู้บริหาร ยืนยัน ปี 2566 จ่ายปันผลได้ตามแผน

GLOCON แจง 3 แนวทางปลดล็อคเครื่องหมาย “C”

          นายนพพร  ภัทรรุจี  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โกลบอล คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOCON ผู้นำการผลิตและจำหน่ายสินค้าอาหารและบรรจุภัณฑ์ เปิดเผยว่า จากกรณีที่หลักทรัพย์ของบริษัทฯถูกขึ้นเครื่องหมาย “C” จากการมีส่วนผู้ถือหุ้นน้อยกว่า 50% ของทุนชำระแล้ว สำหรับงบการเงินประจำปี 2564 สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 นั้น

 

ล่าสุดบริษัทฯได้จัดประชุมเพื่อให้ข้อมูลแก่ผู้ถือหุ้น นักลงทุน และผู้ที่เกี่ยวข้อง (Public Presentation) เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา โดยได้ชี้แจงสาเหตุเกิดจากการปรับกลยุทธ์ในการบริหารงาน ด้วยการตั้งสำรองค่าเผื่อการด้อยค่าในสินทรัพย์และตั้งสำรองค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตในปี 2564 จากการยกเลิกธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม A&W และ Kitchen Plus ซึ่งเป็นธุรกิจที่ขาดทุนมาอย่างต่อเนื่อง

แต่ช่วงเดือนมกราคม 2565 บริษัทฯได้รับเงินเพิ่มทุนจากการใช้สิทธิแปลงสภาพตามใบสำคัญแสดงสิทธิ GLOCON-W4 จำนวน 266.40 ล้านบาท และได้รับเงินเพิ่มทุนจากการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิม (Right Offering : RO) จำนวน 381.54 ล้านบาท

 

ส่งผลให้ส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่เพิ่มขึ้นจาก 914.10 ล้านบาท เป็น 1,562.04  ล้านบาท (ยังไม่รวมผลประกอบการในไตรมาส 1 ปี 2565 สิ้นสุด ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565) หรือคิดเป็นอัตราส่วนที่เพิ่มขึ้นจาก 45.91% เป็น 59% ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นกลับมามากกว่า 50% (ปรากฏในงบการเงิน ไตรมาส 1/65)

นายนพพร บอกเพิ่มเติมว่า บริษัทฯได้วางแนวทางเพิ่มประสิทธิภาพผลการดำเนินงาน ด้วยการผลักดันรายได้เติบโตต่อเนื่องเป็น 3,000 ล้านบาท ในปี 2565 และขยับแตะ 10,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปี (2565-2570) จากแผนการย้ายโรงงานอาหารแช่แข็งไปยังจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิตได้ถึง 3 เท่า

 

เบื้องต้นตั้งเป้ายอดขายจำนวน 1,046 ล้านบาท ในปี 2565 รวมถึงแผนย้ายโรงงานผลไม้อบแห้ง ซึ่งมีระบบสาธารณูปโภคที่ดีมีมาตรฐานระดับสากลรองรับการขยายกำลังการผลิตในอนาคตได้อีกกว่าเท่าตัว ตั้งเป้ายอดขายเพิ่มเป็น 605 ล้านบาทในปี 2565

 

นอกจากนี้ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ยังมีการเติบโตต่อเนื่องคาดรายได้ปี 2565 แตะ 742 ล้านบาท จากการเพิ่มปริมาณการใช้ของธุรกิจในเครือ และการขยายฐานลูกค้าให้มีความหลากหลายมากขึ้น ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับธุรกิจเทรดดิ้ง ที่ยังเติบโตต่อเนื่องจากยอดขายทั้งในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งบริษัทฯจะมีการรับรู้รายได้จากธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหาร ประเภทลูกชิ้นและไส้กรอก ภายใต้แบรนด์ “ลูกชิ้นทิพย์” อีกราว 550 ล้านบาท ในปี 2565 (เริ่มรับรู้ตั้งแต่มีนาคม 2565) 

 

          ขณะเดียวกัน บริษัทฯยังวางแนวทางลดค่าใช้จ่าย ด้วยการปรับปรุงศักยภาพด้านการผลิตให้มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และเพียงพอต่อความต้องการของตลาดมากยิ่งขึ้น พร้อมกับควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายให้สอดคล้องกับประมาณการรายได้ 

 

ควบคู่ไปกับการเดินหน้ามองหาโอกาสทางธุรกิจ ด้วยการขยายฐานลูกค้าใหม่ให้มากขึ้น เพิ่มสินค้าให้หลากหลายและตรงต่อความต้องการของลูกค้า รวมถึงการเข้าไปลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ (M&A) เพื่อเสริมศักยภาพของกลุ่มธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนสู่ Sustainable Food ตอกย้ำวิสัยทัศน์การก้าวสู่ความเป็น “ผู้นำอุตสาหกรรมด้านการผลิตอาหารระดับโลก” ซึ่งจากแผนงานทั้งหมดข้างต้น มั่นใจสามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ภายในปี 2566

       

 

   ทั้งนี้ ปัจจุบัน บมจ.โกลบอล คอนซูเมอร์ แบ่งธุรกิจเป็น 3 กลุ่มหลัก ประกอบด้วย 1. ธุรกิจอาหารแปรรูปแช่แข็ง, อาหารกึ่งสำเร็จรูปพร้อมทาน, ลูกชิ้นทิพย์ และผลไม้อบแห้ง สัดส่วน 73%, 2. ธุรกิจผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติกประเภทต่างๆ สัดส่วน 24%, 3. ธุรกิจเทรดดิ้ง สัดส่วน 3%